จ่อรับสิทธิ์ใหม่! สภาฯ รับร่าง กม.คุ้มครองแรงงาน 2 ฉบับ ปรับวันลาหยุด-ลาปวดประจำเดือนได้
ข่าวการเมือง

จ่อรับสิทธิ์ใหม่! สภาฯ รับร่าง กม.คุ้มครองแรงงาน 2 ฉบับ ปรับวันลาหยุด-ลาปวดประจำเดือนได้

วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … จำนวน 2 ฉบับ โดยร่างหนึ่งเสนอโดยนายจรัส คุ้มไข่น้ำ ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาชน และคณะ ส่วนอีกร่างเสนอโดยนางสาววรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และคณะ ซึ่งได้บรรจุพิจารณาควบคู่กัน

นายจรัส ชี้แจงหลักการว่า ร่างนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการปรับปรุงระยะเวลาการทำงาน วันหยุดประจำสัปดาห์ และสิทธิวันลาพักผ่อนประจำปีของลูกจ้าง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเพิ่มอำนาจการต่อรองให้สอดคล้องกับการพัฒนาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

สำหรับระยะเวลาการทำงาน กำหนดให้ลูกจ้างทำงานรวมกันทั้งสิ้นในหนึ่งสัปดาห์ไม่เกิน 40 ชั่วโมง ยกเว้นงานที่เสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ตามกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ให้ทำงานได้ไม่เกิน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่วันหยุดประจำสัปดาห์ นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดไม่น้อยกว่า 2 วัน โดยวันหยุดทั้งสองต้องมีระยะห่างไม่เกิน 5 วัน ส่วนสิทธิวันลาพักผ่อนประจำปี กำหนดว่าลูกจ้างที่ทำงานครบ 120 วัน มีสิทธิลาไม่น้อยกว่า 10 วันทำงานต่อปี และในปีถัดไปนายจ้างสามารถเพิ่มวันลาให้มากกว่า 10 วันได้ รวมทั้งอาจคำนวณวันลาให้ตามสัดส่วนสำหรับลูกจ้างที่ยังทำงานไม่ครบ 120 วัน

นายจรัส กล่าวต่อว่า จากการรับฟังความคิดเห็น ผู้ที่สนับสนุนเห็นว่าการลดชั่วโมงการทำงานช่วยให้มีความยืดหยุ่น ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพองค์กรและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน รวมถึงครอบครัวให้สมดุลระหว่างชีวิตกับงาน อีกทั้งยังสอดคล้องกับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยเกรงว่าจะเพิ่มต้นทุนแรงงาน กระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อาจต้องปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ จึงเสนอให้มีข้อยกเว้นบางอุตสาหกรรม และออกมาตรการช่วยเหลือนายจ้าง เช่น การลดภาษีหรือเงินสนับสนุนเพื่อลดภาระการปรับตัว

ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว พบว่ามีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติกองทุนประกันสังคม พ.ศ. 2533 โดยประชาชนผู้ใช้แรงงานจะได้รับประโยชน์ในด้านคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการส่งเสริมความเท่าเทียมในการจ้างงาน อีกทั้งยังเพิ่มเวลาให้แรงงานสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้มากขึ้น

ด้านนางสาววรรณวิภา ชี้แจงว่า ร่างที่เธอเสนอมีสาระ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ หนึ่ง การแก้ไขมาตรา 15 เพื่อห้ามนายจ้างเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างไม่เพียงเฉพาะชายและหญิง แต่รวมถึงการไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุเพศสภาพ ศาสนา ความเชื่อ หรือทัศนคติทางการเมืองที่แตกต่างกัน สอง การให้สิทธิลูกจ้างลาหยุดเพื่อดูแลคนในครอบครัวในช่วงเวลาสำคัญ สาม ให้นายจ้างจัดมุมสำหรับการให้นมแม่ที่ปลอดภัยและมิดชิดในสถานที่ทำงาน พร้อมอุปกรณ์ในการเก็บและปั๊มนม แม้พ้นสิทธิลาคลอด 120 วันแล้ว เพราะทารกควรได้รับนมแม่อย่างน้อย 180 วันหรือมากกว่า และสี่ การให้สิทธิวันลาสำหรับการปวดประจำเดือน โดยไม่ถือเป็นวันลาป่วย

นางสาววรรณวิภา กล่าวว่า เรื่องการลาปวดประจำเดือนมีการถกเถียงว่ามีการให้สิทธิแก่แรงงานหญิงมากเกินไปหรือไม่ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว เธอเองเคยปวดประจำเดือนรุนแรงจนต้องเข้ารับการผ่าตัด และชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเวียดนาม ได้บัญญัติสิทธิการลาปวดประจำเดือนไว้แล้ว อีกทั้งจากสถิติพบว่ามีผู้ใช้สิทธิดังกล่าวไม่ถึง 1% จึงไม่ใช่การให้สิทธิพิเศษ แต่เป็นเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศที่ควรถกเถียงกันในชั้นกรรมาธิการ

ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้เปิดให้อภิปรายร่างทั้งสอง ก่อนลงมติร่างของนายจรัส โดยผลปรากฏว่าเสียงเห็นชอบ 333 เสียง ไม่มีเสียงคัดค้าน งดออกเสียง 4 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 31 คน และกำหนดเวลาแปรญัตติภายใน 15 วัน ขณะที่ร่างของนางสาววรรณวิภา มีผู้เห็นชอบ 329 เสียง ไม่มีเสียงคัดค้าน งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนน 4 เสียง โดยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 39 คน และเนื่องจากร่างนี้เกี่ยวข้องกับสตรี จึงกำหนดให้มีกรรมาธิการจากผู้แทนองค์กรสตรีหรือผู้แทนเอกชนด้านสตรีโดยตรง ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกรรมาธิการทั้งหมด หรือจำนวน 13 คน พร้อมกำหนดเวลาแปรญัตติ 15 วัน