วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่ภาคเหนือในพื้นที่เชียงรายและเชียงใหม่ ล่าสุดต่อเนื่องลงมาถึงภาคใต้ ส่งผลให้ทรัพย์สินของประชาชนได้รับความเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รวมถึงอาคารและบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วมจมมิดจนสร้างความกังวลแก่เจ้าของทรัพย์สิน

คปภ. ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับใช้ในการพิจารณาจ่ายค่าซ่อมรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่

ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ เช่น พรม ประเมินค่าซ่อม 8,000-10,000 บาท

ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่งและระบบไฟฟ้า ประเมินค่าซ่อม 15,000-20,000 บาท

ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000-30,000 บาท

ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป 

ระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน บริษัทประกันจะคืนทุนประกันภัยให้ผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์

ในกรณีการคืนทุนประกัน หากบริษัทประกันประเมินแล้วว่าค่าซ่อมเกินกว่า 70% ของราคารถ บริษัทจะจ่ายเงินเต็มจำนวนตามทุนประกันที่ระบุในกรมธรรม์ โดยประกันภัยรถชั้น 1 มักอ้างอิงตามราคารถยนต์ปัจจุบัน ส่วนประกันชั้น 2 และชั้น 3 จะเป็นทุนประกันแบบกำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น 100,000 หรือ 200,000 บาท

ขั้นตอนเคลมประกันรถยนต์น้ำท่วม

ตรวจสอบเงื่อนไขกรมธรรม์

เช็กว่ากรมธรรม์รับผิดชอบความเสียหายแบบใด เช่น คุ้มครองทั้งหมด บางส่วน หรือจ่ายเป็นเงินเมื่อเห็นว่าซ่อมไม่คุ้ม

หากตรงตามเงื่อนไข ให้เตรียมเอกสารเพื่อดำเนินการเคลม

เตรียมเอกสารและหลักฐาน

กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ฉบับจริงและสำเนา

บัตรประชาชน

ใบอนุญาตขับขี่

หลักฐานความเสียหาย เช่น ภาพถ่าย คลิปจากกล้องหน้ารถ หรือบันทึกประจำวันจากตำรวจ

หากไม่มีภาพหรือคลิป ให้เล่ารายละเอียดเหตุการณ์ เช่น ระดับน้ำ วันเวลา สถานที่เกิดเหตุ และควรลงบันทึกประจำวันเพื่อยืนยันเหตุการณ์

ติดต่อบริษัทประกันเพื่อประเมินความเสียหาย

โทรแจ้งบริษัทประกันให้เข้าตรวจสอบรถยนต์

เลือกอู่หรือศูนย์ซ่อมรถยนต์ในเครือ หรือที่ใกล้บ้านเพื่อสะดวกในการติดตามงานซ่อม

รอการอนุมัติเคลมและประเมินค่าซ่อม

หากค่าซ่อมไม่เกิน 70% ของทุนประกัน สามารถนำรถเข้าซ่อมได้ทันทีตามอู่ที่เลือก