เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกเริ่มชะลอตัว หลังเผชิญปัญหาหลายด้าน ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากไทย 19% รวมถึงความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเมือง และทำให้รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งหัวเรือใหญ่

ภาคธุรกิจทุกรูปแบบ ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดท่ามกลางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว ขณะที่ภาคแรงงานเริ่มได้รับผลกระทบชัดเจน

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ในไตรมาส 2/2568 อัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.91% มีผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน ลดลงจากปีก่อนที่มี 4.3 แสนคน แต่ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านคน โดยกว่า 60% อยู่ในภาคเกษตร

ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานทุกสถานภาพอยู่ที่ 15,977 บาทต่อเดือน ลดลง 1.9% ขณะที่ค่าจ้างแรงงานภาคเอกชนเฉลี่ย 14,370 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้น 2.4% และค่าจ้างแรงงานในระบบเฉลี่ย 15,712 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้น 2.5% ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลง 0.4% จำนวนผู้ทำงานล่วงเวลาที่มากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลง 8%

สภาพัฒน์ฯ เตือนว่าการปรับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทำให้ส่งออกไทยลดลง ส่งผลให้สถานประกอบการต้องปรับโครงสร้าง ลดจำนวนพนักงาน ลดเวลาทำงาน และลด OT นอกจากนี้ องค์กรขนาดใหญ่เริ่มหันไปจ้างงานชั่วคราวและสัญญาจ้างเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนพนักงานชั่วคราวจาก 6% ในปี 2565 เพิ่มเป็น 42% ในปี 2567 ส่วนพนักงานสัญญาจ้างเพิ่มจาก 4% เป็น 28%

รายงาน Hiring Compensation & Benefits Report 2025 โดย Jobsdb ระบุว่า 25% ขององค์กรมีแนวโน้มลดพนักงาน เพื่อลดต้นทุนและปรับโครงสร้างให้ยืดหยุ่น

กระทรวงพาณิชย์เผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มีธุรกิจเลิกกิจการ 8,069 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.77% ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 50,700 ล้านบาท ลดลง 40.76% ธุรกิจเลิกกิจการสูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 707 ราย อสังหาริมทรัพย์ 412 ราย และภัตตาคาร/ร้านอาหาร 352 ราย

ขณะที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรายงานว่า โรงงานปิดกิจการ 425 แห่ง มูลค่าเงินลงทุน 12,705.97 ล้านบาท ส่งผลให้แรงงานว่างงานทันที 12,769 คน อุตสาหกรรมที่ปิดกิจการสูงสุด ได้แก่ ผลิตเครื่องจักรและเครื่องกล เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์โลหะ

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าขยายตัวเพียง 1% จีดีพีปี 2568 คาดขยายตัว 1.8%-2.2% อัตราการว่างงานในระบบไตรมาส 2 เพิ่มเป็น 2.07% และผู้เสมือนว่างงาน 2.1 ล้านคน

กกร. แนะนำว่ารัฐบาลควรเน้นการจ่ายค่าจ้างตามทักษะ (Pay by Skills) และสนับสนุนการพัฒนาทักษะแรงงาน เช่น UP-Skill, Re-Skill, Multi-Skill และ New Skill เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด เพิ่มผลิตภาพ และสร้างความสามารถแข่งขัน