จากกรณีมีหญิงสาวรายหนึ่งได้ร้องทุกข์มายังนางสาวชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง ภายหลังลูกสาววัย 11 ขวบซึ่งเป็นเด็กพิเศษถูกกลุ่มวัยรุ่นอายุประมาณ 15-16 ปีจำนวน 4-5 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกของแรงงานต่างด้าวชาวพม่ารุมทำร้ายร่างกายที่บริเวณท้ายซอยบ้านพัก ย่าน ซอยพัฒนาการ 20 จนเป็นเหตุทำให้ได้รับบาดเจ็บนั้น

ล่าสุด วันที่ 10 พ.ย.68 ที่ สน.คลองตัน ต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง , เจ้าหน้าที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้มาพูดคุยกับเจ้าที่ตำรวจสน.คลองตันเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา ก่อนจะลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุ
ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนา สุนิสา (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ผู้เป็นแม่เปิดเผยว่า ลูกสาวของตนอายุ 11 ปี น้องเป็นเด็กพิเศษ ถูกกลุ่มวัยรุ่นอายุประ 15-16 ปี จำนวน 4-5 ตน รุมทำร้ายร่างกายบริเวณท้ายซอยบ้าน

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่28 ตุลาคม 2568 ลูกสาวของตนเองออกไปเล่นกับเพื่อนนอกบ้านตามปกติ เนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียน น้องถูกทำร้ายร่างกายเป็นวันแรก แต่ตนเองไม่รู้เนื่องจากน้องไม่กล้าบอก
ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน ตนเห็นว่าลูกสาวของตนเองถูกเพื่อนหิ้วปีกมาส่งที่บ้าน ตนจึงถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกไม่กล้าเล่าให้ฟัง ตนจึงพยายามสอบถามลูก บอกให้ลูกเล่าให้ฟัง แม่พร้อมจะปกป้อง ลูกสาวจึงยอมเล่าให้ตนเองฟังว่า ตอนที่เพื่อนหิ้วปีกมาส่งที่บ้าน เพื่อนกระซิบข้างหูว่า "มึงอย่าบอกแม่มึงนะ ถ้ามึงบอกจะถูกทำร้ายหนักกว่านี้" ทำให้ตนเองตกใจเป็นอย่างมาก แรกๆตัวเองคิดว่าจะไม่เอาเรื่อง เพราะอยากให้ลูกสาวกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เนื่องจากกลุ่มวัยรุ่นอยู่ในซอยเดียวกัน
แต่มีอยู่วันหนึ่งลูกสาวกลับมาบ้าน หลังจากออกไปเล่นกับเพื่อนกลุ่มนี้ ลูกสาวบอกว่ามีอาการปวดหู ตนจึงให้กินยาแก้ปวด เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้น้องปวดหูมาถึง 3 วัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนจึงตัดสินใจเดินไปที่ท้ายซอย ด้วยความโมโหจึงถามเด็กๆไปว่าใครเป็นคนทำร้ายลูกของตนเอง ซึ่งเพื่อนของลูกที่เป็นคู่กรณี บอกกับตนเองว่า กรูไม่ได้ทำ และพูดว่าให้ไปลากลูกของตนเองมาถามและจะตบให้ดูต่อหน้าตนเอง ทำให้ตนเองตกใจว่าทำไมเด็กถึงมีความคิดที่รุนแรงขนาดนี้

ตนจึงตัดสินใจคุยกับผู้ปกครองของเด็ก (ซึ่งเป็นชาวเมียนมาร์) แต่ผู้ปกครองของเด็กกลับปฏิเสธอย่างเลือดเย็น ว่าหากไม่มีหลักฐานก็อย่ามากล่าวหากัน แม้แต่คำขอโทษหรือจะเรียกลูกของตัวเองไปอบรมสั่งสอนก็ไม่มี ซ้ำยังมีพฤติกรรมข่มขู่ มีการมาคุกคามที่หน้าห้องโดยการถ่ายรูป และถามเพื่อนข้างห้องว่ามีใครอยู่ห้องหรือไม่ พอตกกลางคืนเวลา 4 ถึง 5 ทุ่ม จะได้ยินเสียงคนเดินอยู่หลังห้อง ทั้งๆที่ตนเองอยู่กับลูกสาวเพียงสองคน
ล่าสุดตนเองได้ขอกล้องวงจรปิดจากเจ้าของหอพัก หลังจากเปิดดูพบว่ามีเด็กในกลุ่มนั้นเป็นลูกของชายชาวพม่าที่ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย ใช้ความรุนแรงอุ้มคนไปทำร้ายร่างกายเมื่อไม่พอใจ ทำให้ตนเองรู้สึกกลัวและรู้สึกว่าครอบครัวไม่ปลอดภัย อยู่จังหวัดระแวง กลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้าน
ตนเองสงสารลูกสาววัย 11 ปี ต้องมาเผชิญกับเรื่องรุนแรงแบบนี้ หัวอกของคนเป็นแม่เกินจะรับได้ จนถึงร้องขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ ร้านดำเนินการอย่างจริงจังกับผู้กระทำความรุนแรงต่อลูกสาว เนื่องจากน้องเป็นเด็กพิเศษ ไม่ทันคนและ ถูกรังแกตลอด
ในขณะที่ด้านนางสาวชลิดา เผยว่า ภายหลังจากที่ตนเห็นคลิปเหตุการณ์ที่เด็กหญิงวัย 11 ปีทุกกลุ่มวัยรุ่นชาวเมียนมาร์รุมทำร้ายร่างกายนั้น ก็รู้สึกตกใจไม่คาดคิดว่า จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมายที่คุ้มครองคนไทย แต่กลับถูกชาวต่างชาติไม่สนใจกฎหมาย และได้มีการทำร้ายคนไทย ซึ่งตนมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

โดยจากการสอบถามแม่เด็กให้ข้อมูลว่าก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าลูกสาวถูกทำร้ายร่างกาย จนได้เห็นบาดแผล จึงเกิดความสงสัยให้ดำเนินการติดตามกล้องวงจรปิด จนรู้ว่าลูกสาวของตนเองนั้นถูก กลุ่มรุ่นพี่ชาวเมียนมาร์ทำร้ายร่างกาย และยังมาทราบภายหลังว่า พ่อของกลุ่มคู่กรณีนั้นเป็นโจ๋ชาวพม่าเคยอุ้มคนไปทำร้ายร่างกาย จึงทำให้ทางครอบครัวรู้สึกไม่ปลอดภัย
เบื้องต้น ตนได้มีการประสานงานไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัว , กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม รวมถึงเจ้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าที่ตำรวจสน. คลองตัน โดยหน่วยงานทั้งหมดได้มีการบูรณาการร่วมกันว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างไร โดยเบื้องต้นวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะดำเนินการตรวจสอบใบอนุญาตว่าคู่กรณีนั้นได้มีใบตรวจคนเข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ในขณะที่ทาง “เจ้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง” เผยข้อมูลสั้น ๆ ว่า หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็จะต้องมีการตรวจสอบวีซ่า และการอยู่ต่อ ในราชอาณาจักรของแต่ละคนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ถ้าหากไม่ถูกต้องตามกฏหมายก็จะต้องมีการดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป