นักโภชนาการเตือน 5 ผลไม้ดาบสองคม มีประโยชน์แต่ควรกินวันละ นิดเดียว
อาหารการกิน

นักโภชนาการเตือน 5 ผลไม้ดาบสองคม มีประโยชน์แต่ควรกินวันละ นิดเดียว

นักโภชนาการชื่อดัง หลี่ หว่านผิง (Li Wanping) ได้เผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพผ่านช่อง YouTube อย่างเป็นทางการชื่อ “李婉萍營養師” โดยเตือนประชาชนว่าอย่าคิดว่า “ผลไม้ดีต่อสุขภาพเสมอไป” เพราะหากรับประทานไม่เหมาะสม ผลไม้บางชนิดอาจทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

อันดับหนึ่งคือแตงโม มีน้ำสูงและทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มเร็ว เลือดจึงพุ่งขึ้นได้ง่าย แนะนำไม่ควรกินเกินวันละ 1 ชาม

ส่วนอันดับสองคือสับปะรด ยิ่งสุกยิ่งหวาน กินเข้าไปแล้วระดับน้ำตาลในเลือดจะขึ้นลงเหมือนนั่งรถไฟเหาะ แนะนำให้กินไม่เกินวันละประมาณ 2 ชิ้นขนาดเท่าฝ่ามือ

จากนั้น หลี่หว่านผิง นักโภชนาการได้อธิบายต่อว่า อันดับสามคือกล้วยสุก เมื่อเปลือกเริ่มมีจุดดำ แป้งภายในจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลมากขึ้น ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ง่าย แนะนำให้กินวันละไม่เกิน 1 ผล อันดับสี่คือมะม่วง ซึ่งมีความหวานสูงและเผลอกินเกินปริมาณได้ง่าย ควรกำหนดไม่เกิน 1 ชามต่อวัน ส่วนผลไม้ชนิดสุดท้ายคือองุ่น เม็ดเล็ก กินง่าย แต่ถ้ากินมากจะเกินปริมาณอย่างรวดเร็ว แนะนำให้กินประมาณวันละ 10 เม็ดจะเหมาะสมที่สุด

ท้ายที่สุด หลี่หว่านผิง นักโภชนาการเน้นย้ำว่า ผลไม้ไม่ใช่อาหารที่ห้ามรับประทาน แต่ควรกินในปริมาณที่ “พอดี” หัวใจสำคัญคือการเลือกชนิดและควบคุมปริมาณการกิน เพื่อให้ได้รับทั้งคุณค่าทางโภชนาการและสุขภาพที่ดี พร้อมกันนี้ยังขอให้ประชาชนสร้างแนวคิดด้านโภชนาการที่ถูกต้อง เพื่อการกินที่สบายใจและดีต่อสุขภาพในระยะยาว

ก่อนหน้านี้ หลี่หว่านผิง นักโภชนาการ เคยเขียนบทความแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับผลไม้ที่ควรกินก่อนอาหารหรือหลังอาหาร โดยระบุว่า ผลไม้ที่มีปริมาณน้ำสูง เช่น ชมพู่ ลูกแพร์ และพีช สามารถรับประทานก่อนมื้ออาหารได้ เพราะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้ง่ายขึ้น

ส่วนผลไม้รสออกเปรี้ยว เช่น สตรอว์เบอร์รี ส้มโอแมนดาริน และส้ม จะกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จึงไม่แนะนำให้รับประทานขณะท้องว่าง

ขณะที่สับปะรด มะละกอ และกีวี มีเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ซึ่งเอื้อต่อการย่อยสลายโปรตีน หากกินตอนท้องว่างอาจทำให้กระเพาะระคายเคืองมากขึ้น จึงเหมาะสำหรับรับประทานหลังอาหาร

ส่วนฝรั่งและองุ่น มีสารอาหารที่ค่อนข้างอ่อนโยนต่อร่างกาย สามารถรับประทานได้ทั้งก่อนและหลังมื้ออาหาร

ขอขอบคุณ ข้อมูล : CTWANT

เรียบเรียง สยามนิวส์

ข่าวที่คุณอาจสนใจ