รวบคนไทยขายชาติ รับเงินบอสจีน ผันตัวเป็นพ่อบ้าน เฝ้าบัญชีม้าฝั่งปอยเปต มิหนำซ้ำเป็นนายหน้าหาบัญชีม้าทั่วโคราชกว่า 200 ราย

รวบคนไทยขายชาติ รับเงินบอสจีน ผันตัวเป็นพ่อบ้าน เฝ้าบัญชีม้าฝั่งปอยเปต มิหนำซ้ำเป็นนายหน้าหาบัญชีม้าทั่วโคราชกว่า 200 ราย

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีร่วมกันจับกุม นายวินัยฯ หรือเปรี้ยว อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5358/2567 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหรือหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน” สถานที่จับกุม บริเวณรีสอร์ตในพื้นที่ ม.12 ต.โชคชัย อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากได้รับมอบหมายจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ให้สืบสวนกรณีผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายหลอกให้โอนเงินลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในเพจเฟซบุ๊กปลอมที่แนะนำการเทรดหุ้น และได้โอนเงินไปยังบัญชีของผู้ต้องหาซึ่งเป็นบัญชีม้าหลายคน รวมความเสียหายจำนวน 3,800,000 บาท และเมื่อปลายปี 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. ได้เปิดปฏิบัติการ Cyber Guardian ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับและตรวจยึดทรัพย์สินที่น่าเชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิด โดยจับกุมผู้ต้องหาได้รวมทั้งสิ้น 7 ราย และตรวจยึดทรัพย์สิน ได้แก่ บ้านหรูราคา 27 ล้านบาท จำนวน 1 หลัง, รถยนต์ จำนวน 2 คัน, คอนโดมีเนียมหรู จำนวน 4 ห้อง, โฉนดที่ดินที่ จ.ภูเก็ต, จ.ตาก, จ.เชียงใหม่, จ.เชียงราย จำนวนหลายแปลง, เงินสดกว่า 6 แสนบาท, ทองคำแท่งและกระเป๋าแบรนด์เนมอีกหลายรายการ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดกว่า 80 ล้านบาท

จากนั้นได้สืบสวนอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามจับกุมตัวนายวินัยหรือเปรี้ยวฯ ผู้ต้องหารายสำคัญซึ่งเป็น นายหน้าที่ชักชวนบัญชีม้าในคดีนี้ไปเปิดบัญชีและสแกนหน้าที่ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา และยังเป็นพ่อบ้านคอยทำแอปฯธนาคารให้บัญชีม้า และเฝ้าบัญชีม้าที่ออฟฟิศฝั่งปอยเปตอีกด้วย โดยสืบทราบว่า นายวินัยหรือเปรี้ยวฯ หลบหนีเข้ามาพักอยู่รีสอร์ตในพื้นที่ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เพื่อหาบัญชีม้า จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เข้าตรวจสอบ พบนายวินัยหรือเปรี้ยวฯ อยู่ที่รีสอร์ตดังกล่าว ขณะกำลังพาคนในพื้นที่ไปเปิดบัญชีและทำแอปฯธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าแสดงตัวพร้อมแสดงหมายจับของศาลอาญา ที่ 5358/2567 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ต่อหน้านายวินัยหรือเปรี้ยวฯ ซึ่งนายวินัยหรือเปรี้ยวฯ รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริงและไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การเบื้องต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าเริ่มจากเคยรับจ้างเปิดบัญชีม้า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 จากนั้นเมื่อบัญชีถูกอายัด และรู้ว่าบัญชีถูกไปใช้เป็นบัญชีม้าให้แก๊ง Call Center จึงไม่กล้ากลับประเทศไทย เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับกุม จึงผันตัวเป็นพ่อบ้าน คอยเฝ้าบัญชีม้าที่รอสแกนหน้า ที่ออฟฟิศซานโฮ ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยได้รับเงินเดือนจากบอสจีนเดือนละ 15,000 บาท และเมื่อบัญชีม้าที่เคยมาสแกนหน้ากลับไป และหาบัญชีม้ามาเพื่อส่งออฟฟิศดังกล่าวจะติดต่อผ่านผู้ต้องหาซึ่งจะได้รับค่านายหน้าบัญชีละ 1,000 บาท โดยทำมาแล้วเกือบ 2 ปี มีบัญชีม้าที่ชักชวนมาจากทั่วจังหวัดนครราชสีมา กว่า 200 ราย และเมื่อเจ้าหน้าที่มีการเข้าปราบปรามที่ออฟฟิศฝั่งปอยเปต เมื่อช่วงต้นปี 2568 ทำให้ออฟฟิศปิด จึงได้ข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติกลับเข้ามาประเทศไทย และถูกจับกุมได้ที่ จ.นครราชสีมา ขณะกำลังพาบัญชีม้าเปิดบัญชีและทำแอปฯธนาคาร

ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ