วันที่ 7 กันยายน 2568 นายนพดล อินนา ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และปี 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ โดยระบุว่า
ในการประชุมวันที่ 9 กันยายนนี้ ที่ประชุมจะเปิดโอกาสให้สมาชิก กมธ. แต่ละคนได้นำเสนอข้อมูล ประสบการณ์และข้อเท็จจริงที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อให้สมาชิกทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกันอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับ MOU ทั้งสองฉบับซึ่งมีอายุย้อนหลังไปกว่า 20–25 ปี
นายนพดลระบุว่า คณะกรรมาธิการได้เรียนเชิญ เจ้ากรมแผนที่ทหาร มาให้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับที่มาที่ไปของ MOU ทั้งสองฉบับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมเปิดโอกาสให้ซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อปูพื้นฐานก่อนการพิจารณาแนวทางดำเนินการต่อไปในอนาคต
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประชุมที่ผ่านมา มีข้อเสนอจากสมาชิกบางคนให้พิจารณาเรื่องนี้ใน 2 กรอบหลัก ได้แก่
- กรอบที่หนึ่ง การพิจารณาถึงกระบวนการได้มาซึ่ง MOU ว่าชอบด้วยกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่
- กรอบที่สอง การพิจารณาเนื้อหาของ MOU ว่ามีประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ นายนพดลกล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาก่อน จึงให้ความสำคัญกับการได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน โดยย้ำว่า กมธ. จะไม่จำกัดการทำงานเพียงในห้องประชุมหรือจากเอกสารเท่านั้น แต่จะลงพื้นที่จริงในบริเวณชายแดนเพื่อดูสภาพการณ์ด้วยตนเอง เช่น พื้นที่ที่มีการปักปันเขตแดน หรือจุดที่ยังไม่มีข้อตกลงชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึง MOU ปี 2544 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเขตทางทะเล โดย กมธ. มีแผนจะลงพื้นที่เพื่อดูข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เช่น แนวเส้นแบ่งเขตทางทะเลที่เคยเว้นเกาะกูดไว้ เป็นต้น
เมื่อมีการตั้งคำถามว่า หากพบว่ามีข้อเสียเปรียบต่อประเทศไทยจะดำเนินการอย่างไร นายนพดลระบุว่า ต้องรอให้ได้ข้อมูลครบถ้วนก่อน จึงจะสามารถพิจารณาว่าไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบและปัญหาอยู่ตรงจุดใด
เขาเปิดเผยด้วยว่า คณะกรรมาธิการได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการเพื่อขอเอกสารที่เกี่ยวข้องจาก กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
นายนพดลระบุว่า ตนไม่รู้สึกกังวลใด ๆ เนื่องจากสมาชิก กมธ. ทุกคน รวมถึงตัวเขาเอง ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก โดยสิ่งที่ทำไปแล้วหากไม่เกิดประโยชน์ ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า ควรยกเลิก แก้ไข หรือดำเนินการต่อไปอย่างไร
พร้อมกันนี้ เขายังย้ำว่า เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว คณะกรรมาธิการจะต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการรับรู้ข้อเท็จจริงและร่วมตัดสินใจว่า การดำรงอยู่ของ MOU ทั้ง 2 ฉบับนี้ ยังมีความจำเป็นหรือเป็นประโยชน์ต่อไปหรือไม่