คู่รักเรียกร้องสายการบินคืนค่าตั๋ว หลังทนนั่งข้าง สุนัขช่วยเหลือ ตด น้ำลายไหล กรนเสียงดัง 13 ชั่วโมง

คู่รักเรียกร้องสายการบินคืนค่าตั๋ว หลังทนนั่งข้าง สุนัขช่วยเหลือ ตด น้ำลายไหล กรนเสียงดัง 13 ชั่วโมง

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ผู้ใช้เพจเฟซบุ๊ก World Forum ข่าวสารต่างประเทศ รายงานว่า สิงคโปร์ สิงคโปร์แอร์ไลน์ คู่รักชาวนิวซีแลนด์ ขอเงินค่าบัตรโดยสารคืนเต็มจำนวน สาเหตุนั่งติดกับน้องหมา สุนัขช่วยเหลือ สุนัข น้ำลายไหลเยิ้ม กรนเสียงดัง ตด บนเที่ยวบิน

คู่รักบนเที่ยวบิน จากฝรั่งเศส ปารีส กลับ นิวซีแลนด์บ้านเกิด เมื่อ ต้นเดือนมิถุนายน เปิดเผยว่า เมื่อขึ้นเครื่องคู่รักแปลกใจ ผู้โดยสารที่นั่งติดกัน นำสุนัข ขึ้นมาด้วย แต่ได้ยินเจ้าของสุนัขคุยกับผู้โดยสารอีกคนว่า เธอกังวล วิตก เวลาขึ้นเครื่องบิน ต้องใช้สุนัขช่วยเหลือ ต้อง ให้สุนัขอยู่ใกล้ๆ

ขณะเดินทางเที่ยวบิน 13 ชั่วโมง ทั้งคู่อยู่ในชั้นโดยสารชั้นประหยัดแบบพรีเมี่ยม ญ. คู่รัก ได้ยินเสียงดังคล้ายโทรศัพท์มือถือสามี เธอหาที่มาของเสียงจึงพบว่า เสียงนั้นคือเสียงกรน หายใจแรงของสุนัข

สุนัขต้องเข้ามาหลบใกล้ที่วางขา ของสามีเธอ หัวของมันติดกับเท้าสามีเนื่องจากตรงทางเดินกีดขวาง ลูกเรือเข็นรถเข็น ปฏิบัติหน้าที่ จึงเข้ามาหลบในที่วางขา น้ำลายสุนัขยืด ไหล ติดขาสามีเธอ ซึ่งใส่กางเกงขาสั้น เลอะขาเต็มไปหมด เมื่อเดินทางถึงครึ่งทาง พบว่าสุนัขเริ่มผายลมออกมา

ทั้งคู่เจรจากับลูกเรือขอเปลี่ยนที่นั่ง ลูกเรือเปลี่ยนให้เป็นแถวหลังสุดชั้นประหยัด เป็นที่รู้จักกันว่าแถวนั้นกันไว้เป็นที่เฉพาะพนักงาน ลูกเรือแจ้งว่าจะรายงานปัญหาไปที่บริษัท และจะติดต่อพวกเขาภายหลัง

สองสัปดาห์ต่อมา สายการบินส่งอีเมล์มอบ บัตรของขวัญ 74 ดอลลาร์สหรัฐ ( 2,624 บ. ) สำหรับซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ KrisShop / ญ. คู่รักตอบกลับว่า สายการบินไม่มองความแตกต่างราคาบัตรโดยสารชั้นพรีเมี่ยม -และชั้นประหยัดในการพิจารณา สายการบินเปลี่ยนเป็นชดเชยคนละ 200 ดอลลาร์สหรัฐ (7,094 บ.) แต่สองสามี ภรรยายังไม่พอใจขอคืนเต็มจำนวนราคาบัตรโดยสาร

สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ แถลงขออภัยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นความผิดพลาดปกติหากบนเที่ยวบินนั่งติดกับสัตว์เลี้ยงที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย จะแจ้งผู้โดยสารทราบล่วงหน้า กรณีนี้ไม่ได้แจ้งคู่รักล่วงหน้า ส่วนเรื่องการเปลี่ยนที่นั่งสายการบินสามารถเปลี่ยนได้เฉพาะที่นั่งว่างที่มีอยู่ในชั้นนั้นๆเท่านั้น

ข้อมูลและภาพจาก World Forum ข่าวสารต่างประเทศ

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ