น้ำตาท่วม หลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปีสาวพิการตาบอดแถมป่วยสารพัดโรคข้อหาลักทรัพย์ วอนสื่อช่วยอุปการะลูกวัย 12 ปี

น้ำตาท่วม หลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปีสาวพิการตาบอดแถมป่วยสารพัดโรคข้อหาลักทรัพย์ วอนสื่อช่วยอุปการะลูกวัย 12 ปี

(5.ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 11.30 น.วันเดียวกันนี้นายไพฑูรย์ อินทศิลา ได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในอาการร้องห่มร้องให้แจ้งเบื้องต้นว่าตนเองอยู่ที่ศาลจังหวัดทุ่งสง และศาลจังหวัดทุ่งสงได้อ่านคำพิพากษาในคดีบุกรุกและลักทรัพย์ในเคหะสถาน โดยศาลพิพากษาจำคุกตน 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ตนที่พึ่งและเป็นห่วง น้องกฤษณ์ ไม่มีใครดูแล ไม่รู้จะอยู่กับใคร จึงขอวิงวอนให้ช่วยไปรับน้องกฤษณ์ มาอุปการะดูแลและให้เรียนให้จบ ป.6 ด้วย หลังจากนั้นขอให้น้อง น้องกฤษณ์ ไปบวชเป็นสามเณรเป็นลูกศิษย์ของพระมหาอารยนันต์ อานันโท เจ้าอาวาสวัดเขาพระทอง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งท่านเคยมีเมตตาช่วยเหลือตนและน้องกฤษณ์ มาตลอด ซึ่งผู้หญิงคนดังกล่าวเร่งให้นายไพฑูรย์ รับปากจะอุปการะดูแลน้องกฤษณ์ ในที่สุดนายไพฑูรย์ จึงรับปาก และประสานกับเจ้าหน้าที่ศาลว่าจะเดินทางไปรับเด็ก เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะต้องมาก่อน 15.00 น.เพราะทางเรือนจำเขาจะมารับตัวแม่เด็กเข้าเรือนจำรับโทษตามคำพิพากษา จะเอาเด็กไปด้วยไม่ได้ หากมาถึงขอชี้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยเขาจะมามาพบแม่และเด็กในห้องหน้าห้องขังศาลทันที

นายไพฑูรย์ จึงขับรถจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชไปยังศาลจังหวัดทุ่งสงทันที ระหว่างทางฝนตกจึงแวะรับนายรุ่งเรือง วิมลทรง ช่างน้อย สาคูใต้ ที่ ต.ท้ายสำเภา อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ให้ช่วยขับรถให้ เมื่อไปถึงศาลจังหงวัดทุ่งสง พบ รปภ.ประตูทางเข้าศาลเมื่อแจ้งเรื่องที่จะมารับเด็กที่แม่ถูกศาลพิพากษาจำคุกไปอุปการะ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ทราบเรื่องเป็นอย่างดี โดยกล่าวว่าสองแม่ลูกมีฐานะยากจน มีความเป็นอยู่ยากไร้แร้นแค้นอาชีพขายกล้วยฉาบ เดินทางมาศาลหลายครั้งตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุธารณ์ และในวันนี้มาฟังคำพิพากษาศาลฏีกา ตนได้ช่วยเหลือให้เงินค่ารถโดยสารและอื่น ๆ เท่าที่พอจะช่วยเหลือได้ ล่าสุดสองแม่ลูกมาศาลยังนำกล้วยฉาบมาฝากตนด้วย

จากนั้น รปภ.ประตูทางเข้าศาลได้นำนายไพฑูรย์ ไปประสานเจ้าหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขังใต้ถุนศาล พบนางนางกัญญาวีร์ พรหมดนตรี หรือ เจี๊ยบ อายุ 52 ปี นั่งกอดน้องกฤษณ์ อายุ 12 ปี ลูกชาย ร้องห่มร้องให้ ทั้งแม่และลูกด้วยความดีใจเมื่อเห็นนายไพฑูรย์ เขามาหาเพื่อรัยบน้องกฤษณ์ ไปอุปการะตามที่รับปาก พร้อมสั่งเสียต่าง ๆ นา ๆ โดยตนจะขอเข้าไปชดใช้เวรชดใช้กรรมในคุก ตามคำพิพากษา 2 ปี เรื่องมันจะได้จบ ๆ กัน เพราะเรื่องคดีนั้นตนถูกกลั่นแกล้งว่าบุกรุก ลักทรัพย์ ตนยืนยันว่าไม่ได้ทำ และในขบวนการต่อสู้ในศาลตนทำได้แค่การยืนยันตามความจริงว่าไม่ได้กระทำผิด ส่วนคู่กรณีเป็นญาติฝ่ายแม่ และเป็นทนายความ การต่อสู้มาถึงมาถึงชั้นศาลฏีฏาพิพากษาตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ยืนยันว่าถูกกลั่นแกล้งมาตลอด แต่ถือว่ายังโชคดีที่ตนไม่ถึงกับตาย เพราะเขาต้องการให้ตนหายสาปสูญไปจากโลกนี้เสียด้วยซ้ำ ตนยอมรับที่จะเข้าไปชดใช่กรรมที่ตนอาจจะทำกับเขาไว้ในชาติปางก่อน แต่เป็นห่วงน้องกฦฤษณ์ ลูกชายไม่รู้จะทำอย่างไร จะให้อยู่คนเดียวในบ้านเช่าก็ไม่รู้จะอยู่ได้อย่างไร และไว้วางใจคุณไพฑูรย์ เป็นอย่างมาก เชื่อมั่นว่าจะต้องช่วยเหลือตนและน้องกฤษณ์ ได้อย่างแน่นอน เพราะติดตามข่าวมาตลอดว่าเคยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์มาตลอด และเคยช่วยเหลือตนและลูกเมื่อปี 2565

ในวันนั้นน้องกฤษณ์ จูงตนเข้าไปในวัดเขาพระทอง เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องค่าเช่าบ้าน และอื่น ๆ จากพระมหาอารยยันต์ อานันโท เจ้าอาวาส ที่ตนและน้องกฤษณ์ติดตามข่าววัดเขาพระทองมาโดยตลอด เมื่อหมดที่พึ่งจึงนึกถึงพระมหาอารยนันต์ ในวันนั้นได้พบทั้งพระมหาอารยนันต์ และคณไพฑูรย์ โดยนำเรื่องนาวชีวิตของตนและน้องกฤษณ์ ไปเสนอทางสื่อมวลชนจนมีผู้ใจบุญยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ศาลได้ลงมาเป็นพยานในการที่นางกัญญาวีร์ หรือ เจี๊ยบ ได้มอบหมายและฝากให้นายไพฑูรย์ ช่วยอุปการะดูแลน้องกฤษณ์ พร้อมถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่น้องกฤษณ์ จะก้มกราบแม่ ในขณะที่แม่ก็ริ้องห่มร้องหื้นำตาไหลอาบแก้ม พร้อมเอ๋ยากสั่งเสียลูกรักก่อนจากกันว่า “อย่าดื้อกับลุงฑูรย์ ขอให้เชื่อฟังลุงฑูรย์ทุกอย่าง ขอให้ลูกเป็นเด็กดี ขยันเรียนให้จบ ป.6 แล้วให้ไปบวชเป็นสามเณรกับพระมหาอารยนันต์ อานันโท เจ้าอาอวาสวัดเขาพระทอง ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสลด เจ้าหน้าที่ศาล และ รปภ.ต่างอั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ก่อนที่นายไพฑูรย์ ได้เดินโอบกอดน้องกฤษณ์ เดินออกมาจากใต้ถุนศาล ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ศาล ทนาย รปภ.ศาลและญาติผู้ต้องขังที่ทราบข่าวเดินมาให้กำลังใจและควักเงินให้น้องกฤษณ์ คนละ 20-100 บาท ก่อนเดินออกจากศาลจังหวัดทุ่งสงทามกลางสายฝนที่ตกโปรยปรายตลอดเวลา และเดินทางไปยังบ้านเช่า เลขที่ 201/61 หมู่ 7 ต.ชะมาย อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ให้น้องกฤษณ์ เก็บเสื้อผ้า และเอกสารสำคัญต่าง ๆ พร้อมพบกับเจ้าของบ้านเช่า และแจ้งว่าจะกลับมาเคลียร์เรื่องการเช่าบ้านต่อไป ซึ่งเจ้าของบ้านบอกว่า นากัญญาวีร์ แม่น้องกฤษณ์ เพิ่งจายค่าเช่าบ้านแบบเหมาจ่ายทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ เดือนละ 1,700 บาท จะสามารถอยู่ต่อไปจนถึงวนที่ 31 ต.ค.2566

จากนั้นจึงได้เดินทางต่อไปยังโรงเรียนมที่น้องกฤษณ์ เรียนอยู่ นตัวใอทึ่วสง จ.นครศรีธรรมราช ประสานกับครูประจำชั้น ป.6/1 และผู้อำนวยการโรงเรียนที่ชี้แจงว่าสามารถลาออกได้ หากมาประสานจะรีบดพำเนินการให้ ในขณะที่ครูประจำชั้นยืนยันว่า น้องกฤษณ์ เป็นเด็กดี โดยเมื่อเพื่อนทราบว่าแม่น้องกฤษณ์ ต้องติดตึก 2 ปี และน้องกฤษณ์ จำเป็นต้องออกจากโรงเรียนไปเรียนต่อที่อื่น เพื่อน ๆ ต่างร้องห่มร้องไหม้ด้วยความสงสาร และกล่าวว่าขอให้เพื่อนโชคดี นายไพฑูรย์ จึงบอกกับครูประจำชั้นและเพื่อน ๆ ว่าเมื่อจบ ป.6 น้องกฤษณ์จะไปบวชเป็นสามเณรที่วัดเขาพระทอง อ.ชะอวด จงนครศรีธรรมราช เพื่อเรียนในทางพระภิกษุ-สามเณรต่อไป เพื่อน ๆ จึงขออนุโมทนาบุญ และกล่าวสาธุพร้อมพากันโบกมือลา.ข่าวคืบหน้าจะพนำเสนอต่อไป

ทีมข่าวสยามนิวส์

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ