หลวงพี่น้ำฝน จี้ พศ. เร่งสอบกรณีพระพยอมยุ่งการเมือง สังคมรอคำตอบ

หลวงพี่น้ำฝน จี้ พศ. เร่งสอบกรณีพระพยอมยุ่งการเมือง สังคมรอคำตอบ

จากกรณีพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ได้มีการออกมาพูดถึงเรื่องการเมืองซึ่งเป็นลักษณะชี้นำเชียร์ไปที่นักการเมืองคนใดคนหนึ่งและกล่าวถึงมาตรา 112 ซึ่งมีเนื้อหาไม่เหมาะไม่ควร นำมาซึ่งกระแสชาวโซเชียลได้ถล่มถึงเรื่องดังกล่าว ว่าพระภิกษุไม่ควรมีบททางกับทางการเมืองโดยมีคำสั่งของมหาเถรสมาคมกำหนดสั่งห้ามไว้แล้ว

วานนี้ได้มี กลุ่มประชาชน ที่ใช้ชื่อว่า ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระพยอมว่าเข้าข่ายยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ ซึ่งทางพระพยอมได้แสดงความคิดเห็นว่า "ใครจะด่าว่าอย่างไรก็ตาม จงถือหลักของพระพุทธเจ้าว่า การยกย่องคนดี ชื่นชมคนดี ไม่มีอำไรที่ผิดหลักเกณฑ์" ไม่ได้ชมพรรคก้าวไกล ชมเฉพาะพฤติกรรมบางช่วงบางตอนที่ถูกผลกระทบ ไม่เหมือนบางคนที่ไม่อดทน ปรี๊ดแตก และย้ำว่าคนนนบุรีเชียร์ก้าวไกลทั้งจังหวัด ถ้าออกมาท้วงติงจะอยู่ไม่ได้ ชมนิดชมหน่อยจะเป็นไรไป ส่วนกรณี ร้องเรียนยังไม่มีหนังสือส่งมาหากมีก็พร้อมปฏิบัติตามอยู่แล้ว

ล่าสุด วันนี้ 26 ก.พ. 66 พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ออกมาให้ความคิดเห็นอีกครั้ง โดยระบุว่า จากประสบการณ์ที่อาตมา เคยประสบการโดนร้องเรียนมาก่อนหลังจากมีประชาชนร้องเรียนเข้าไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่องนี้ต้องมีการดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนนั้นคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังเ ผอ.สำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดนนทบุรีและจ้าคณะจังหวัดนนทบุรีเพื่อให้ดำเนินการเป็นลำดับและต้องมีความชัดเจนเพราะถือว่าเป็นเรื่องของคำสั่งของมหาเถรสภาคม

เรื่องนี้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดต้องร่วมกับเจ้าคณะจังหวัด ที่จะต้องลงไปตรวจสอบว่าเป็นจริงไหมถ้าไม่เป็นจริงจะสรุปว่าอย่างไร แต่ตรงนี้มันมีภาพคลิบระบุเป็นหลักฐานไว้ชัดเจนแล้ว ด้วยกฎมหาเถรสมาคมระบุไว้ชัดเจนแล้ว ว่า ยิ่งเราไปกล่าวถึงเกี่ยวกับมาตรา 112 ยิ่งเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่งเราเป็นพระเราจะทำอะไรไม้ได้ไม่สมควรอย่างยิ่งอาตมายืนยันที่จะพูดเหมือนเดิม หลวงพี่น้ำฝน กล่าว

หลวงพี่น้ำฝน กล่าวต่อ กรณีที่มีชาวโซเชียลมีการแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ว่าหิวแสง อาตมาจะไปหาแสงทำไมเพราะสื่อเองที่มองว่าอาตมามีความรู้ทางด้านนี้ จึงได้มาสัมภาษณ์และอาตมาก็ตอบไปตามประสบการณ์ที่มีซึ่งกระบวนการต้องดำเนินไปแบบนั้น อาตมาไม่เคยหิวแสงเพราะแสงมีในตัวอยู่แล้วนั่นคือความดี

นอกจากนี้ยังมีชาวโซเชียลหรือบุคคลบางคนได้มีการแสดงความคิดเห็นว่า พระพยอมสมควรจะลาสิกขาไปหรือลาออกจากเจ้าอาวาสกลับไปบวชเณร โดยมองว่าอาจจะเป็นการกล่าวตำหนิที่แรงเกินความเป็นจริงไปโดยอย่างให้มองว่ากระบวนการนั้นมีอยู่แล้วซึ่งหากหน่วยงานและคณะสงฆ์มีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและทางผู้ถูกสั่งการลงมาน้อมรับคำสั่งก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว แต่เรื่องนี้ชัดเจนด้วยหลักฐาน

หลวงพี่น้ำฝนกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่พระพยอมเคยทำโซเชียล สอบถามไปยังคณะสงฆ์เรื่องการทำพิธีลงนะหน้าทองหรือการเจิมต่างๆ ว่าเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ เรื่องนี้มีคำตอบแล้วว่าไม่ผิดเพราะถ้าผิดต้องมีการสั่งห้ามไปแล้วซึ่งถ้ามีการสั่งห้ามอาตมาก็หยุดไม่ฝ่าฝืน แต่การที่พระออกมาวิจารณ์การเมืองก้าวล่วงไปยังมาตรา 112 สมควรหรือไม่อาตมามองว่าไม่เหมาะสมที่จะมาแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ในฐานะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก อันมีความหมายถึงผู้ทะนุบำรุงศาสนาทั้งปวง โดยทรงเกื้อกูล ค้ำจุนทุกศาสนาภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ซึ่งสนับสนุนพระพุทธศาสนาและทุกศาสนา ท่านเป็นองค์ประธานในการส่งเสริมสนับสนุนอย่างแท้จริง เราต้องอยู่ในขอบเขตของเราเท่านั้น ซึ่งที่พูดคือเอาความถูกต้องไม่ใช่เอาความถูกใจ เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป

ข่าวโดย ปนิทัศน์ มามีสุข ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จ.นครปฐม

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ