บิ๊กตู่ ดัน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นทายาท รับไม้ต่อ หลังจากก้าวลงจากหลังเสือ

บิ๊กตู่ ดัน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นทายาท รับไม้ต่อ หลังจากก้าวลงจากหลังเสือ

นั่นคือ คำพูดบางส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ของพรรค ที่กล่าวเปิดใจในงานสัมมนาของพรรค เพื่อเปิดตัวผู้สมัครระบบเขต จำนวน 400 เขต ทั่วประเทศ เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา หลังจากได้รับการเสนอชื่อจากพรรค ให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่ง ของพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมทั้งเปิดเผยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับสอง ของพรรคคือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค

ผมไม่ได้มุ่งหวังอะไรทั้งสิ้น ตั้งมั่นและจริงใจ หัวใจของผม คือ ความสุขของประชาชน คือ กำไรของประเทศชาติ วันนี้ผมไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น พวกเราไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น รัฐบาลมีวาระ 4 ปี ซึ่งรัฐบาลผมอยู่ได้เกือบครบ ห่างไม่กี่วัน ถือว่ามีประสิทธิภาพ ไปได้ตลอดรอดฝั่งต่อเนื่องในการบริหารราชการ วันหน้าอยู่ให้มันเต็มเม็ดไปเลย 4 ปีเต็มๆ แต่ก็หวังในความซื่อสัตย์ ความรักชาติ ประเทศ รักประชาชน ความจริงผมไม่รู้มาก่อนจะเป็นแคนดิเดต เป็นเรื่องของพรรค

ทุกอย่างพรรคทั้งนั้น แต่บางครั้งเขาจะเลือกพวกเราหรือเปล่าน้อ บางทีก็เหนื่อยนะ แต่ไม่เป็นไร ผมมีกำลังใจจากพวกเรา ชอบ-ไม่ชอบ ก็มีบ้างไม่เป็นไร ทั้งประเทศให้โอกาสพวกเราได้เป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศ ขอเรียนต่อหน้า 400 คน ให้ทราบต่อจากการเลือกผมเป็นแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 ซึ่งต้องแจ้งว่า ทางพรรคได้เลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนที่ 2 ของพรรค คือ นายพีระพันธุ์ โอเคหรือไม่ ขอบคุณท่านทำงานหนักมาพอสมควร รัฐบาลจะต้องเข้มแข็งเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่หยุดที่เดิม ทั้งหมดจะต้องก้าวไปด้วยกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่งั้นไปไม่ได้ และเราจะไม่ทันเขาวันนี้หลายอย่างมันฟื้นมาแล้ว ฝ่ายเศรษฐกิจเราก็มีมากมายคอยเชื่อมั่นแล้วกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พร้อมชวนให้กาบัตร 2 ใบจากพรรคนี้

ด้าน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า พวกเราสู้ไม่ใช่เพื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ไม่ใช่เพื่อ พล.อ.ประยุทธ์ แต่สู้เพื่อคนไทยทั้งชาติ ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 400 ชีวิต จะมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำพรรคของเรา และเพื่อให้การนำทัพครั้งนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ คณะกรรมการบริหารพรรค ได้ประชุมกันเรียบร้อยว่า เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นำพรรคในสนามเลือกตั้ง แน่นอนว่า การเสนอชื่อ นายพีระพันธุ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เบอร์ 2 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในครั้งนี้ ถือว่าเซอร์ไพรส์ ไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้ เชื่อว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียว ดังนั้น เมื่อเสนอชื่อนายพีระพันธุ์ ขึ้นมาเป็นเบอร์สองแบบนี้ โดยเฉพาะคนที่เสนอชื่อเป็น พล.อ.ประยุทธ์ เอง มันก็ยิ่งทำให้ต้องมาวิเคราะห์กันว่า ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้

อย่างที่รับรู้กัน ก็คือ หากพรรครวมไทยสร้างชาติได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในรอบที่สาม รวมทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เขาก็มีโควตาเป็นนายกฯ ได้อีกเพียงสองปีเท่านั้น ตามกฎหมายกำหนด ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 ปี อาจจะทำให้เกิดช่องว่างตามมาหรือเปล่า ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันในทางการเมือง มันเหมือนกับการคง อำนาจต่อรอง ของ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อไป หลังจากต้องลงจากเก้าอี้ไปแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีแคนดิเดตของพรรคอีกคนหนึ่ง ที่สามารถสร้างแรงกดดันกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ในตอนนั้นก็ได้

ขณะเดียวกัน หากสังเกตว่า การเสนอชื่อ นายพีระพันธุ์ ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯอันดับสอง ของพรรครวมไทยสร้างชาติเพิ่งเกิดขึ้นหลังข่าวการ จับขั้ว กันระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงข่าว ดีลลับ ระหว่าง ลุงป้อม กับ โทนี่ ในเรื่องการจับมือระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พลังประชารัฐ หลังการเลือกตั้ง โดยเปิดทางให้ ลุงป้อม เป็นนายกฯ

แม้ว่าจะมีการปฏิเสธกันมาแล้ว เพียงแต่ว่ามันยังไม่หนักแน่นพอที่จะเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยแต่ละฝ่ายจะเน้นไปที่ให้รอผลการเลือกตั้งก่อน ซึ่งเชื่อว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยอ้างประชาชนและความจำเป็นของบ้านเมือง ที่เป็นสูตรสำเร็จของนักการเมืองสำหรับใช้เป็นข้ออ้างทุกครั้ง วกกลับมาที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องเสนอชื่อ นายพีระพันธุ์ เป็นเบอร์สอง แน่นอนว่า

สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมต้องมองข้ามช็อต แบบเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ หลังจากต้องลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในรอบที่สาม ที่กำหนดเอาไว้แค่ 2 ปี เท่านั้น เพราะเมื่อถึงตอนนั้นสถานการณ์คงไม่แน่นอน และคาดเดาอะไรมากไม่ได้ แต่การสร้างหลักประกันความชัวร์เอาไว้เบื้องต้นก่อนดังกล่าว มันถือว่าน่าจะต้องป้องกันเอาไว้ก่อน ดังนั้น สภาพในตอนนี้เท่าที่เห็น ก็คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลัง วางทายาท ทางการเมือง อย่างเป็นทางการแล้ว ก็คือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั่นเอง ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ยังเป็นการสร้าง “เซฟโซน” สำหรับตัวเองเอาไว้ล่วงหน้า หลังจากที่ต้องลงจากเก้าอี้ไปแล้ว ซึ่งถึงตอนนั้นอาจจะต้องมีการต่อรองกันใหม่สำหรับเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยยังมี ทายาท ที่รับไม้ต่อนั่นเอง

เพราะหากแคนดิเดต มีแค่ พล.อ.ประยุทธ์ เพียงคนเดียว ถึงตอนนั้นมันก็ไม่ต่างจาก สุญญากาศ นั่นแหละ โดยเฉพาะสำหรับเก้าอี้รัฐมนตรี หากต้องเป็นของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น ลุงป้อม หรือว่า เสี่ยหนู ก็ตาม แม้ว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะร่วมกันเป็นพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลกันล่วงหน้าแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะเข้าเงื่อนไขดังกล่าวได้เต็มร้อย ทุกอย่างก็ต้องเดินตามขั้นตอน อย่างน้อยพรรครวมไทยสร้างชาติก็ต้องได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง สำหรับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม หรืออย่างน้อยก็ไม่น้อยกว่ากันมากนัก

เพราะสำหรับ บิ๊กตู่ ยังมี ส.ว.อีกจำนวนหนึ่ง เป็นฐานสำคัญต้องนำมาพิจารณาร่วมกันด้วย ดังนั้น การวาง พีระพันธุ์ เป็นทายาท เพื่อหวังให้รับไม้ต่อ มันจึงเป็นเรื่องจำเป็น และต้องทำสำหรับ บิ๊กตู่ อย่างน้อยก็ยังเป็นหลักประกันความปลอดภัยเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง หลังจากก้าวลงจากหลังเสือไปแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีพลังต่อรอง ไม่ได้มีขาลอย และที่สำคัญ ถึงตอนนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีความแน่นอน จึงต้องชัวร์ไว้ก่อน ประมาณนั้น

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ