เอิ้นขวัญ วรัญญา สวมบทแม่ค้าเปิดร้านส้มตำ ไม่น้อยใจคนจำภาพนักร้องดังไม่ได้

เอิ้นขวัญ วรัญญา สวมบทแม่ค้าเปิดร้านส้มตำ ไม่น้อยใจคนจำภาพนักร้องดังไม่ได้

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักร้องชื่อดังที่ได้ผันตัวมาค้าขายอย่างเต็มตัว อย่างสาวเอิ้นขวัญ วรัญญา เล็งเปิดร้านส้มตำ หลังฝึกฝีมือ สวมวิญญาณแม่ค้า จนลูกค้าติดใจ รับเหนื่อยแต่สนุก ไม่น้อยใจคนจำภาพนักร้องดังไม่ได้ เป็นแม่ค้าส้มตำ ฝีมือดีจนลูกค้าติดใจ สำหรับนักร้องลูกทุ่งสาว เอิ้นขวัญ วรัญญา ที่มีอีกหนึ่งทักษะความสามารถเลี้ยงชีพตัวเอง

แม้จะเหนื่อยแต่สนุก เพราะได้ทำสิ่งที่รักควบคู่ไปกับการร้องเพลง ที่บอกว่าจะเปิดร้านส้มตำ มีแพลนไว้เมื่อไหร่ยังไง ตอนนี้มีในหัวก่อน เพราะว่าการที่จะขายส้มตำหรือขายของที่เป็นเปิดร้าน หนึ่งเราต้องมีคนที่วางใจได้ ขายส้มตำมันต้องมีความสม่ำเสมอ มันจะมีเรื่องต้มน้ำปลาร้า เลือกวัตถุดิบเยอะแยะ ก็เลยต้องเป็นคนที่ต้องชอบเหมือนเราก่อน

อย่างหนูทำมันก็เหนื่อยเตรียมของ แต่ว่าเราต้องชอบก่อน ถ้าเราชอบถึงเหนื่อยมันก็คุ้ม สนุกด้วย เรื่องคนสำคัญ แล้วในเรื่องของพื้นที่ในการเปิดร้านไม่ว่าจะเช่าหรืออะไรมันก็ต้องหาทำเลที่ดีแล้วราคาไม่สูงมาก ไม่เกินกำลังเรามาก ก็เล็งๆ มองๆ ดูอยู่ค่ะ น้อยใจไหมลูกค้าบางคนไม่รู้ว่าเราเป็นนักร้องดัง ณ ตอนนั้นเวลาเราไปขายส้มตำ

เราก็ใส่ตัวตนความเป็นแม่ค้าเต็มที่เลย หนูเป็นคนที่ตื่นมาขับรถจัดของยกของ เราใส่เหมือนหน้าที่นั้นเป็นหน้าที่อีกแบบหนึ่งไปเลย จะไม่ได้มาห่วงว่าคนนั้นคนนี้จะคิดยังไง เราเหมือนแบ่งไปอีกพาร์ตหนึ่ง เราก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ตรงนั้น แต่พอเราขายอยู่ดีๆ แล้วมีคนเรียกน้องเอิ้นขวัญ มาขอถ่ายรูปหน่อย เราก็จะไปทำหน้าที่ตรงนั้นได้อีก เอิ้นขวัญจะไม่ได้ห่วงภาพว่าคนจะมองว่าไม่สวยมั้ย

ดูแบบทุลักทุเลเป็นแม่ค้า เราแฮปปี้กับจุดนั้นมาก ได้ช่วยทำกับแม่เราเต็มที่มากๆ ไม่ได้แต่งหน้าด้วย บางวันก็ไม่ได้แต่งหน้า รีบเตรียมของให้แม่ พอจัดของเสร็จปุ๊บ เราก็จะรู้แล้วว่ามีแฟนๆ มาขอถ่ายรูปถึงแม้ฟิลเตอร์จะมีเยอะแยะมากมายแต่ว่าหน้าสดของเรามันก็ไม่ได้ ก็จะบอกแม่ขอแว้บไปแต่งหน้าให้มันโอเค แฟนๆ เขาจะได้แฮปปี้ เป็นนักร้องที่มีตัวตนเป็นแม่ค้า

ไม่อายทำกิน ใช่ค่ะ หนูคิดว่ายังโชคดีที่เรามีอะไรที่ชอบอีกอย่างหนึ่ง ถึงมันจะเหนื่อยจะหนักแต่ว่าพอเรามีความชอบกับมัน มันจะมีความเหนื่อยผสมกับความสนุก ได้คุยกับลูกค้า ได้แจกได้แถมนู่นนี่นั่น เรารู้สึกแฮปปี้ในจุดนี้ ด้วยความที่ตั้งแต่เด็กเราขายของกับแม่ ขายผักบุ้ง ขายถ่าน เราทำมาตั้งแต่เด็ก เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้อายจุดนี้

บางคนที่พอยึดอย่างหนึ่งแล้วพอถึงช่วงหนึ่งที่มันไม่สามารถทำได้ เขายังหาสิ่งที่ตัวเองชอบไม่ได้เลยไม่ได้ทำอะไร ส่วนเรา ณ จังหวะนี้ก็ยังถือว่าโชคดีที่ยังเจอตัวเองในอีกบทบาทหนึ่ง แฟนเพลงกลัวไหมว่าเราติดใจการเป็นแม่ค้าส้มตำ จะไม่ร้องเพลงแล้ว ไม่ค่ะ ตอนนี้พอเราไปขายส้มตำเรามีอะไรทำ สมมติไม่มีงานเราอยู่บ้านทำนั่นทำนี่ไป เราเป็นคนนอนยาก

หลับยากชอบนอนดึกตื่นสาย พอไปขายส้มตำจะทำแบบนั้นไม่ได้ทุกอย่างมันเป็นระบบ กลายเป็นว่าเราได้ใช้ช่วงเวลาที่เรายังไม่ได้ไปคอนเสิร์ต รีบนอนให้อิ่มเพื่อจะไปทำอะไรต่อ เรารู้สึกว่านาฬิกาชีวิตมันดูปกติดี พาร์ตขายส้มตำบางทีก็ 5 วัน 7 วัน 10 วัน หมดจากตรงนั้นเราก็มาทำเพลง ตอนนี้ก็เริ่มทยอยทำคัฟเวอร์เพลงของน้องๆ ในค่ายด้วยและเพลงที่เราเลือกเองด้วย

เราก็รู้สึกว่าพอขยับตรงนั้นมาปุ๊บมันจะอยู่นิ่งไม่ได้แล้วต้องหาอะไรทำ และแฟนเพลงเขาทวงถามกันมาเยอะ อยากให้ออกเพลงบ่อยๆ ไม่คัฟเวอร์ก็เป็นเพลงพิเศษ ระหว่างที่ทำหลายๆ อย่าง ก็อย่าเพิ่งลืมในเรื่องของการทำเพลงไป เป็นทั้งแม่ค้าส้มตำและนักร้องควบคู่ไปได้ ใช่ค่ะ บางทีหน้าร้านเขาก็ทักทำไมไม่เอาไมค์เอาลำโพงออกมาร้องเพลง โอ้ย มันจะหลายหน้าที่ไปมั้ย

เรียบเรียงโดย ทีมงาน siamnews

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ