เจ้าบ่าวหนีงานแต่ง ติดต่อมาแล้ว

เจ้าบ่าวหนีงานแต่ง ติดต่อมาแล้ว

จากกรณี น.ส.น้ำทิพย์ อายุ 40 ปี สาวโรงงานแห่งหนึ่ง ในพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี ร้องทุกข์เกี่ยวกับงานวิวาห์ล่มกับสื่อมวลชน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดจากชายคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นทหารยศ จ.ส.อ.เอก อายุ 43 ปี ได้คบหากันตั้งแต่เดือนพ.ย. 64 และตกลงว่าจะแต่งงานกันในวันที่ 1 พ.ค. 65

โดยฝ่ายหญิงได้จัดเตรียมงาน ทั้งพิธีทางศาสนา โต๊ะจีนพร้อมเครื่องดื่มจำนวน 50 โต๊ะ ถึงเวลาเจ้าบ่าวกลับไม่ได้เดินทางมาร่วมพิธี ติดต่อไม่ได้ ทำให้ฝ่ายเจ้าสาวต้องต้อนรับแขกเพียงลำพัง จนกระทั่งงานเสร็จ ส่งผลทำให้ครอบครัวเจ้าสาวเป็นหนี้กว่า 300,000 บาท เนื่องจากนำเงินมาใช้จัดงานทั้งหมด

ทีมข่าว เดินทางไปที่บ้านหมู่ที่ 6 บ้านสระจาน ตำบลนาดี อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี น.ส.น้ำทิพย์ เจ้าสาววิวาห์ล่ม ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในอาการเสียใจ ได้นำการ์ดงานแต่งของชำร่วย มาลัยคล้องคอพิธีรดน้ำสังข์ เอกสารค่าใช้จ่าย ป้ายชื่อบ่าวสาวติดฉาก ออกมาให้ทีมข่าวดู

น.ส.น้ำทิพย์ บอกว่า ตนกับนายเอกคบหาดูใจกันตั้งแต่เดือน พ.ย. 64 โดยรู้จักกันผ่านเพื่อนที่โรงงาน ฝ่ายชายแอดไลน์มาหา ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ฝ่ายชายเป็นคนนิสัยดี เข้านอกออกในคอยทำอาหารให้ครอบครัวของตนกิน และในเดือน ก.พ. 2565 ฝ่ายเริ่มพูดคุยเรื่องงานแต่งก่อน มีการตกลงกับพ่อแม่ของตนว่าจะมีสินสอดเป็นเงินสดจำนวน 200,000 บาท และทองคำ 3 บาท ซึ่งฝ่ายชายไม่ได้พาผู้ใหญ่ฝ่ายชายมาพบครอบครัวของตน ให้เหตุผลว่าผู้ใหญ่ไม่สะดวก อีกทั้งในเดือน ก.พ.-มี.ค. ตอนแรกฝ่ายชายจะพาตนและครอบครัวไปพบครอบครัวฝ่ายชายที่ จ.นครราชสีมา แต่สุดท้ายก็อ้างว่าครอบครัวติดCV19 และไม่สบาย

สำหรับงานแต่ง ตนกับฝ่ายชายตกลงกันว่าจะจัดงานกันในวันที่ 25 มี.ค. 65 มีเลี้ยงโต๊ะจีนประมาณ 30 โต๊ะ ตอนแรกตนไม่อยากให้จัดงานใหญ่ แต่เนื่องจากทางครอบครัวของตนติด CV19 ทำให้ต้องเลื่อนงานแต่งออกไปเป็นวันที่ 1 พ.ค. ฝ่ายชายได้ขอให้จัดงานใหญ่ขึ้น เพิ่มโต๊ะจีนเป็น 50 โต๊ะ อ้างว่าอยากจัดให้สมกับการเป็นทหารเก่า มีแขกผู้ใหญ่และเพื่อนจำนวนมาก ฝ่ายชายบอกว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

สรุปค่าใช้จ่ายเป็นการเลือกด้วยกัน ซึ่งฝ่ายชายได้บอกให้ฝ่ายหญิงจ่ายมัดจำไปก่อน เดี๋ยวจะจ่ายคืนทั้งหมดให้หลังเสร็จงานพิธี วันที่ 18 เม.ย.65 ทำสัญญาชุดเจ้าสาว 15,900 บาท มัดจำ 2,000 บาท ส่วนเจ้าบ่าวจะใส่ชุดข้าราชการ, วันที่ 23 เม.ย. 65 ค่าซุ้มดอกไม้ 29,000 บาท, วันที่ 23 เม.ย. 65 ทำสัญญาออร์แกไนซ์จัดพิธีมงคลสมรส ราคา 28,000 บาท แบ่งออกเป็นฉากสงฆ์ 6,900 บาท หลักน้ำสังข์ 6,900 บาท ฉากไม้อัด 6 เมตร 10,900 บาท มาลัยบ่าวสาว 1,500 บาท ฉากรอบสถานที่และพื้น 2,000 บาท ผ้าและตกแต่งสถานที่ 1,000 บาท แต่ลดให้ 1,200 บาท เหลือเพียง 28,000 บาท มัดจำ 8,400 บาท จ่ายวันงาน 1 พ.ย. 19,600 บาท

ต่อมาวันที่ 24 เม.ย. 65 ทำสัญญาจองโจ๊ะจีนจำนวน 50 โต๊ะ โต๊ะละ 2,300 บาท รวมเป็นเงิน 115,000 บาท มีรายการอาหารแต่ละโต๊ะมีดังนี้ ออเดิร์ฟ ยำหมูมะนาว ปลาสมุนไพร ปลาแป๊ะซะ ห่อหมกทะเล ขาหมูตุ๋นยาจีน ข้าวผัดทะเล ต้มยำรวมมิตร แปะก๊วย, วันที่ 30 เม.ย. สั่งเครื่องดื่ม น้ำแข็ง และสิ่งของเพิ่มเติม รวม 40,611 บาท, ยืมเงินเพื่อน 70,000 บาท เป็นค่าอาหารเพิ่มเติม ของไหว้ขันหมาก รวมเป็นเงิน 298,611 บาท

ทั้งนี้ เมื่อถึงวันงาน 1 พ.ค. เวลา 01.00 น. ฝ่ายชายได้บอกกับตนว่าจะออกไปรับแม่ ซึ่งพักอยู่รีสอร์ต ทราบภายหลังว่าเป็นข้ออ้าง เพราะจากการตรวจสอบทราบว่าไม่มีใครพักรีสอร์ตจริง ส่วนตนไม่ได้เอะใจเพราะในเวลา 02.00 น. ต้องเตรียมตัวแต่งหน้าทำผม กระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น. น้ำแข็งได้มาส่ง ตนจึงได้โทรหาฝ่ายชายให้เดินทางมาจ่ายเงิน เนื่องจากตนให้เงินฝ่ายชายไว้จำนวน 20,000 บาท และเร่งฝ่ายชายให้รีบกลับมาแต่งหน้าแต่งตัว เพราะพิธีสงฆ์จะเริ่มในเวลา 07.00 น. ในเวลา 07.00 น. ตนได้โทรหาฝ่ายชายอีกรอบเพราะงานกำลังจะเริ่ม แต่ฝ่ายชายบอกว่ามีปากเสียงกับแม่เรื่องเงินสินสอด ขอให้เลื่อนฤกษ์เป็น 07.29 น. แต่เมื่อถือเวลา ฝ่ายชายกลับบอกตนว่าอยู่ จ.นครราชสีมา อ้างว่าแม่หนีกลับบ้าน หลังจากนั้นตนก็ติดต่อฝ่ายชายไม่ได้อีก ตนรู้สึกเสียใจ เชื่อได้ว่าฝ่ายชายจงใจทิ้งงานแต่ง และเดินทางไปจังหวัดนครราชสีมาตั้งแต่เวลา 01.00 น.

ทั้งนี้ ขณะนั้นพระสงฆ์ต้องฉันเช้า ตนจึงใจแข็งเริ่มพิธีด้วยตัวคนเดียว แม้จะไม่มีเจ้าบ่าว ทั้งตักบาตร ทำพิธีทางสงฆ์ และต้อนรับแขก เพื่อให้งานผ่านพ้นไปได้ จากนั้นในเวลา 09.09 น. ได้มีพิธีแห่ขันหมาก ตนยังคงมองในแง่ดีว่าเจ้าบ่าวอาจจะกลับมาร่วมพิธี แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แววของเจ้าบ่าว ทำให้พิธีรดน้ำสังข์ต้องเปลี่ยนเป็นพิธีบายศรีเรียกขวัญให้ตนแทน ครอบครัวและชาวบ้านผูกข้อมือให้เจ้าสาว อวยพรและให้กำลังใจ

หลังจากเสร็จสิ้นงานในช่วงเที่ยง ในช่วงบ่ายตนกับครอบครัวก็ได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.นาดี ซึ่งขณะนี้ตนต้องนำทอง 4 บาทไปขาย ได้เงินมา 100,000 บาท พ่อให้เงิน 30,000 บาท แม่ให้เงิน 20,000 บาท ยืมเพื่อนประมาณ 150,000 บาท เพื่อนำไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในงานแต่ง

ในตอนที่ตนตกลงจะแต่งงาน พ่อแม่ของตนได้ค้านตนว่าเร็วเกินไป แต่สุดท้ายพ่อแม่ก็ยินยอมให้ตนจัดงาน เพราะตนอายุมากแล้ว ตนอยากจะมีครอบครัวและมีลูกด้วยกัน โดยฝ่ายชายก็บอกกับตนเองว่าอยากมีลูก ล่าสุดตนสามารถติดต่อฝ่ายชายได้แล้ว ซึ่งอีกฝ่ายพยายามง้อขอคืนดี พร้อมรับปากว่าจะเดินทางกลับมาเจรจาเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ตนยืนยันผ่านสื่อว่าตนจะไม่กลับไปคืนดีด้วย ตนอยากถามอีกฝ่ายว่า "ทำเพื่ออะไร จะเลื่อนหรือไม่แต่งก็ควรบอกกัน ตนอายชาวบ้าน" ต่อไปตนคงยังไม่เปิดใจกับใคร คงจะต้องขอเวลาสักพัก เพราะตนยังไม่พร้อม

ขณะเดียวกัน ทางครอบครัวฝ่ายหญิงก็ได้เปิดแชตระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิงให้ทีมข่าวดู ในวันที่ 1 พ.ค. 65 วันจัดงาน ฝ่ายชายได้บอกฝ่ายหญิงว่าทะเลาะกับแม่ ถ้าแม่ไม่ช่วยค่าใช้จ่าย จะพยายามหามาจ่ายเอง มีอะไรจะรับผิดชอบเอง ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันจะยอมตาย ขอให้เลื่อนการตักบาตรจากเวลา 07.00 น. เป็น 07.29 น. ขณะนี้ออกมาจากรีสอร์ตแล้ว กำลังเดินทางมาที่งาน

ฝ่ายชายบอกว่าจะขอตัดแม่ แม่ต่อว่าว่าทำไมจัดงานใหญ่ ขอโทษที่ทำให้ฝ่ายหญิงอับอาย เดี๋ยวจะจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้ โดยฝ่ายหญิงได้ขอให้ฝ่ายชายรับสายและรีบเดินทางมาที่งาน แต่ฝ่ายชายเลี่ยงที่จะไม่ตอบและไม่รับสาย บอกเพียงรักมาก และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง และฝ่ายชายบอกว่าอยากตาย เดินทางไปงานตอนนี้ก็คงไม่ทัน โดยฝ่ายชายยังคงพูดว่ารักฝ่ายหญิงมาก แต่ไม่อยากสู้หน้า กลับกันฝ่ายหญิงบอกเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องกังวล เพียงขอให้ฝ่ายชายมา

นายสี จาลุย อายุ 77 ปี และนางบุญทม จาลุย อายุ 66 ปี พ่อและแม่ของเจ้าสาว งขณะนี้ยังคงโกรธเจ้าบ่าวมาก บอกว่า เสียใจมาก เสียหน้า เสียทั้งทองและเงิน ไม่รู้ว่าอีกง่ายทำได้อย่างไร ทำไมอีกฝ่ายถึงหลอกกัน แบบนี้เรียกว่าไม่รักกันจริง โดยในวันที่ 1 พ.ค. เวลา 01.00 น. ได้มีรถกระบะมารับอีกฝ่ายออกไปจากบ้าน ซึ่งเจ้าบ่าวอ้างว่าจะไปรับแม่ที่รีสอร์ต สำหรับเหตุที่เกิดขึ้นถือเป็นการเสียหน้าตอนแก่ พวกตนเคยท้วงลูกสาวแล้วว่าแต่งงานเร็วเกินไป แต่เนื่องจากลูกสาวได้อนุญาตอีกฝ่ายให้มาอยู่ในบ้าน พวกตนก็กลัวว่าจะเป็นการไม่เหมาะสม จึงอนุญาตให้จัดงานแต่ง

ทั้งนี้ตนคิดว่าเหตุผลของการที่เจ้าบ่าวหนีงานแต่งไม่ออก เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็เป็นคนดี ยอมรับว่าขณะนี้พวกตนยังคงโกรธ ยืนยันว่าแม้อีกฝ่ายจะขอโทษ พวกตนก็ไม่ให้อภัย และไม่ขอต้อนรับอีก เพราะขณะนี้พวกตนหมดตัว โดยลูกสาวต้องเอาทองไปขายและต้องยืมเงินคนอื่น เพื่อมาจ่ายค่างานแต่ง

น.ส.น้ำทิพย์ จาลุย อายุ 40 ปี เจ้าสาว และนายธีรภัทร จาลุย อายุ 20 ปี หลานชายเจ้าสาว ก็ได้ลองติดต่อหานายเอก ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้รับสาย นายธีรภัทรได้สอบถามเจ้าบ่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าบ่าวอ้างว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องเงินกับแม่ เนื่องจากแม่ต่อว่าว่าจัดงานใหญ่ ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ ขณะนี้พักอยู่ที่ จ.นครราชสีมา แต่ในวันที่ 11 พ.ค. นี้ เจ้าบ่าวยืนยันว่าจะเดินทางมาเจรจากับเจ้าสาวที่ สภ.นาดี ในเวลา 09.00 น. นอกจากนี้ เจ้าบ่าวพูดขอโอกาสกับเจ้าสาว พร้อมบอกว่าวังคงรักเจ้าสาว ยืนยันว่าเคยเป็นทหารอยู่ที่ภาคใต้ประมาณ 10 ปี แต่ปลดประจำการแล้ว ไม่ได้หลอกลวงครอบครัวเจ้าสาว จากนั้น เจ้าบ่าวต้องการที่จะได้ยินเสียงและพูดคุยกับเจ้าสาว น.ส.น้ำทิพย์ จึงเข้ามาพูดคุยด้วย

เจ้าสาวได้ถามเจ้าบ่าวว่าทำไมไม่ยอมมาร่วมงานแต่ง เป็นเพราะเรื่องเงินหรือไม่ ซึ่งเจ้าบ่าวบอกว่ามีเงิน แต่ไม่ยอมบอกรายละเอียดลึก ๆ โดยเจ้าบ่าวได้พูดว่าไม่ได้อยากให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ ซึ่งจะชี้แจงให้ครอบครัวเจ้าสาวฟังทั้งหมด พร้อมจ่ายค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เจ้าสาวได้พูดขึ้นว่า “ถ้าพี่ไม่หนีในวันนี้ วันนี้คงไม่เป็นแบบนี้ พี่ไม่ได้รักหนูจริง” แต่ฝ่ายชายได้ปฏิเสธ พร้อมยืนยันว่ารักจริง อีกทั้งไม่ใช่เพราะเป็นข่าวแล้วจึงอยากเจรจา เพราะมีความตั้งใจที่จะเดินทางกลับมาเจรจาด้วยอยู่แล้ว สุดท้ายเจ้าบ่าวได้ถามเจ้าสาวว่าจะขอโอกาสให้กลับมาคืนดีกันได้หรือไม่ ซึ่งเจ้าสาวไม่ตอบในทันที แต่เลี่ยงตอบไปว่าจะให้คำตอบในวันที่ 11 พ.ค. 65

ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ