ภาพลับหลวงพี่ปากแดงจุ๊บหนุ่ม

ภาพลับหลวงพี่ปากแดงจุ๊บหนุ่ม

จากกรณีเฟซบุ๊กเพจ แม่ทัพลิง อีสเบ้า ออกมาโพสต์ภาพพระสงฆ์รูปหนึ่ง ปะแป้งหน้าขาว ทาปากสีแดง กำลังผลัดกันโอบหอมกับฆราวาสซึ่งเป็นผู้ชาย และต่างฝ่ายต่างก็ยิ้มแย้ม สดใส มีความสุข ดูแล้วไม่เหมือนพฤติกรรมทั่วไปที่พระสงฆ์พึงปฏิบัติต่อฆราวาส ทางเพจเขียนคำอธิบายโพสต์นี้ว่า รักแท้ต้องเปิดเผย ถถถ

และต่อมาทางเพจก็ได้ออกมาเปิดเผยอีกว่า พระสงฆ์รูปดังกล่าวมีการเปิดไลน์กลุ่มที่เป็น Open Chat ด้วย โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า เรือนมหาลาภ ณ เขาธัมมสรณ์ มีสมาชิกถึง 1,082 คน (อัปเดต 4 พ.ค.65 เวลา 10.58 น.) แต่จะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อต้องได้รับการอนุมัติจากแอดมินก่อน ขั้นตอนการขอเข้าร่วมกลุ่ม ต้องมีการตอบคำถามว่า รู้จักหลวงพ่อเอกได้อย่างไร ด้วย

ล่าสุด วันที่ 4 พ.ค. 65 ทีมข่าวได้รับการร้องเรียนมาอีกว่า พระสงฆ์รูปดังกล่าวมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายอย่าง นอกจากจะทาแป้งจนหน้าขาว ทาปากแดง และกอด หอมกับโยมผู้ชายแล้ว ยังมีการไปเที่ยวทะเล พายเรือเล่น ใช้เครื่องประดับ อาทิ แว่นแฟชั่น หมวกแฟชั่น เป็นต้น

เมื่อตรวจสอบก็พบว่าพระสงฆ์รูปดังกล่าวคือ พระธัมมสรโณ หรือ พระคุณหลวงพ่อเอก เป็นพระในสถานปฎิบัติธรรมที่พักสงฆ์เขาธัมมสรณ์ บ้านห้วยหนามตะเข้ ต.บ้านไร่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี

ทีมข่าวเดินทางไปยังสถานปฎิบัติธรรม ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา โดยรอบไม่มีบ้านพักอาศัย มีการกั้นรั้วปิดทางเข้า ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าหากไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะมีด้านของฆราวาส 1 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของหลวงพ่อเอก และพระสงฆ์ 1 รูป เป็นพระเลขาของ หลวงพ่อเอกที่ปรากฏในภาพที่กำลังเป็นกระแสออกมาให้ข้อมูล บอกว่า ตอนนี้หลวงพ่อเอกไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ แต่พักผ่อนอยู่ด้านใน โดยตนทั้ง 2 จะเป็นตัวแทนพบสื่อ

ฆราวาส บอกว่าภายในนี้มีพระทั้งหมด 4 รูป คือ หลวงพ่อเอก, พระเลขาและพระสงฆ์อีก 2 รูป นอกจากนั้น ก็จะเป็นเหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่แวะเวียนเข้ามาสักการะ พร้อมกับได้อธิบายว่า ตอนนี้ทางหลวงพ่อเอก และพระสงฆ์ด้านใน รวมถึงลูกศิษย์ได้เห็นภาพมาพักหนึ่งแล้ว แต่ที่ไม่ออกไปตอบโต้หรือแก้ข่าว เพราะว่ากำลังดำเนินคดีกับบุคคลที่ปล่อยภาพนี้ออกมา เบื้องต้น อยู่ในขั้นตอนของชั้นศาลฯแล้ว เพราะมีการดำเนินคดีมา 2 ปีแล้ว มีทางสถานที่ปฏิบัติธรรมนี้เป็นโจทก์ฟ้อง มีบุคคล 2 รายเป็นจำเลย

เนื่องจากมีการนำภาพหลวงพ่อและฆราวาสที่อยู่ในรูปไปพูดบิดเบือน ทำให้เข้าใจผิด สร้างความเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้ทางศาลฯได้นัดคู่กรณีไปพบแล้วรอบหนึ่ง แล้วทางคู่กรณีก็รับปากต่อหน้าศาลฯแล้วว่าจะเข้ามากราบขอโทษหลวงพ่อ เพื่อยุติคดี แต่ครั้งนั้นไม่ได้มีการไกล่เกลี่ยกันระหว่าง 2 ฝ่าย แล้วเมื่อถึงวันนัดทางคู่กรณีกลับไม่มาปรากฏตัว จากนั้นกลายเป็นว่าเมื่อเวลาผ่านไป รูปกลับกลายเป็นกระแสดังขึ้น ทางหลวงพ่อจึงตั้งใจว่าจะปล่อยให้เรื่องทั้งหมดถูกดำเนินการโดนกระบวนการของศาลฯเท่านั้น แล้ววันที่ 27 พ.ค. 65 ทางศาลฯได้นัดทั้ง 2 ฝั่งไปไกล่เกลี่ย หากตอนนั้นกระบวนการของศาลฯสิ้นสุด ก็จะออกมาชี้แจงกับสื่อฯ และคนที่เข้าใจผิดอย่างเป็นทางการแน่นอน

ถ้าถามว่าฆราวาสชายในภาพเป็นใคร ยอมรับว่าเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อ ที่เคารพนับถือกันมากว่า 10 ปี ปัจจุบันยังมีชีวิตและยังไป ๆ มา ๆ อยู่ตลอด แต่บอกไม่ได้ว่าภาพนั้นถูกถ่ายเมื่อไร ถ่ายโดยใคร และเกิดอะไรขึ้น ทำไมหลวงพ่อถึงมีการทาแป้งและทาปากแดง เนื่องจากเกรงว่าจะเสียรูปคดี บอกได้แค่ว่าเขาไม่ได้มาแค่คนเดียว ไม่ได้อยู่กันสองต่อสองแน่นอน อย่างไรก็ตามจากเรื่องที่เกิดขึ้น ยืนยันคำเดิมว่าทางหลวงพ่อและสถานที่กำลังถูกปรักปรำ ถูกบิดเบือนความจริง ดังนั้นตอนนี้จึงขอใช้สิทธิในฐานะผู้ถูกกระทำ

ใช้กฎหมายในการดำเนินแทนที่จะออกมาชี้แจงผ่านสื่อฯก่อนผลทางคดีจะออก ส่วนด้านของพระเลขาบอกว่าตอนนี้ภาพมันออกไปยังสื่อฯเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ชี้แจง คนก็ตัดสินไปแล้วว่า หลวงพ่อเอกเป็นคนผิด ที่ไปหอมแก้มฆราวาส แล้วยังให้ฆราวาสหอมแก้มอีก แม้ว่าฆราวาสนั้นจะเป็นผู้ชายก็ตาม ส่วนประเด็นที่หลายคนกำลังกล่าวหาว่า หลวงพ่อเอกไม่ใช่ชายแท้ เป็นคู่ขากับชายในรูปนั้น

ตนก็ยืนยันว่าไม่ใช่ความจริง เป็นการบิดเบือนทั้งหมด เชื่อว่าผู้ที่นำรูปเหล่านี้ไปเผยแพร่ มีเจตนาจะทำให้หลวงพ่อเสียชื่อเสียง เพราะฉะนั้นจึงไม่ขออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับภาพที่ออกไป เนื่องจากต้องการให้เป็นขั้นตอนของกระบวนการกฎหมายในชั้นศาลฯในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของหลวงพ่อและสถานที่ โดยอยากจะฝากบอกถึงบุคคลรวมถึงสื่อฯ ที่แผ่ภาพดังกล่าวว่าทางหลวงพ่อและทุกคนไม่ได้รู้สึกดีใจหรือเสียใจ เพราะมีสติพอที่จะตั้งรอรับผลของการดำเนินคดี แค่อยากให้คนที่ดูภาพช่วยพิจารณา อย่าเพิ่งตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่อย่างที่ใจคิด อยากให้เห็นแล้วเกิดคำถามว่า เอ๊ะ เพราะอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนั้น เพราะตนรู้ดีว่าตอนนี้วงการพระสงฆ์ค่อนข้างเป็นกระแส และพระบางรูปที่ว่าก็น่าสงสาร

ดังนั้น คนที่อยากจะตรวจสอบพระสงฆ์ ไม่ว่าจะกรณีใดก็แล้วแต่ ก็ควรจะใช้ความรู้ที่เป็นปัญญาชน ใช้สติ รอบคอบ ละเอียด ใช้ความสามารถในวิชาชีพให้เป็นไปตามครรลองที่ถูกจรรยาบรรณ เพราะหวั่นว่าหลังจากนี้พระพุทธศาสนาจะไม่มีที่ยืน ส่วนเรื่องของภาพที่กำลังถูกพูดถึงนั้น ตนก็ยืนยันคำเดิมว่าต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายในชั้นศาลฯ ในส่วนของพระเลขาก็บอกว่าส่วนตัวเท่าที่ได้คุยกับหลวงพ่อก็ไม่ได้มีความเครียด เพราะเน้นอยู่กับความจริง ขอเพียงแค่ให้ทุกคนรอการทำงานของกระบวนการยุติธรรมที่กำลังพิสูจน์ความจริงก็เท่านั้น

ขอบคุณ amarintv

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ