
กวดขันปราบขบวนการ ลอบขนต่างด้าวเข้าเมืองช่วงเทศกาลปีใหม่
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.วรบดินทร์ เลิศศุภสินสถิต สว.ส.ทล.5 กก.1 บก.ทล. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ทล.5 กก.1 บก.ทล. ร่วมกันจับกุม 1.นายเจอะฯ อายุ 42 ปี (ผู้ขับขี่) ผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลต่างด้าว สัญชาติเมียนมา จำนวน 10 คน กระทำความผิดฐาน ผู้ต้องหาที่ 1 “รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ช่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ผู้ต้องหาสัญชาติเมียนมา 10 คน “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมตรวจยึดของกลาง
1.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ TOYOTA VIGO สีน้ำตาล จำนวน 1 คัน
2.กุญแจรถยนต์ จำนวน 1 ดอก สถานที่จับกุม บริเวณหน้าปั้มน้ำมัน ปตท. กม.330 ทล.12 ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก กก.1 บก.ทล.ได้มีการกวดขันจับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและผู้นำพาในเส้นทางพื้นที่ชั้นในอยู่บ่อยครั้ง พ.ต.อ.เอกนิรุจติ์ วันสิริภักดิ์ ผกก.1 บก.ทล. จึงได้สั่งการให้มีการสืบสวนถึงเส้นทางที่มีการลักลอบชนคนต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน
โดยให้เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจทางหลวง 5 ตำรวจทางหลวงกองกำกับการ 1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ทล บูรณาการร่วมกัน สืบสวนในพื้นที่รับผิดชอบจนกระทั่ง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สำรวจเส้นทาง โดยพบรถยนต์กระบะจำนวนประมาณ 2-3 คัน ขับขี่ผ่านมาด้วยความเร็วสูงและมีน้ำหนักที่รถยนต์มากกว่ารถยนต์ปกติ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขับขี่ติดตามไปอย่างกระชั้นชิดพบ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ TOYOTA VIGO สีน้ำตาล
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสัญญาณไฟกระพริบสีแดงและใช้สัญญาณเสียงรวมถึงการพูดออกค้าสั่งผ่านไมโครโฟนเรียกรถยนต์คันดังกล่าวให้หยุด จนกระทั่งมาถึง บริเวณหน้าปั๊มน้ำมัน ปตท. กม.330 ทล.12 ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจขอทำการตรวจสอบพร้อมกับได้แสดงความบริสุทธิ์ใจเป็นที่พอใจแล้วเบื้องตันสอบถาม นายเจอะฯ อายุ 52 ปี (แสดงตนเป็นผู้ขับขี่) โดยมีผู้ถูกจับที่ 2-11 นั่งโดยสารมากับรถยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญรถยนต์คันดังกล่าวมาตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้งที่ สถานีตำรวจภูธรเขาข้อ ภ.จว.เพชรบูรณ์ พบว่า ผู้ถูกจับที่ 2-11 เป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใดแสดง โดยผู้ถูกจับนั่งโดยสารมาในรถยนต์คันดังกล่าว จากการสอบถามผู้ถูกจับที่ 1 ให้การยอมรับว่า ได้รับการประสานให้ไปรับแรงงานต่างด้าวจำนวน 10 คน ที่บริเวณ อ.วังเจ้า จ.ตาก เพื่อไปส่งปลายทาง จ.เพชรบูรณ์ โดยได้ค่าจ้าง 9,500 บาทต่อครั้ง
และรับว่าได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวบรรทุกแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองมาจริง และตนรู้ดีอยู่แล้วว่าแรงงานต่างด้าวทั้ง 10 คน ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารแทนหนังสือเดินทางใดๆ และยินยอมที่จะนำพาพามาส่งที่ปลายทางจนกระทั่งมาถูกตำรวจทางหลวงเรียกตรวจสอบ และสอบถามผู้ถูกจับที่ 2-11 ผ่านล่ามแปลภาษาเมียนมาให้การยอมรับว่าได้ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติและเดินข้ามมา ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และมีคนพาออกมาขึ้นรถที่นำพา เพื่อจะเข้ามาทางานทำในประเทศไทย โดยเสียค่าใช้จ่าย จำนวน 15,000-25,000 บาท เจ้าหน้าที่ ชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหา ผู้ถูกจับที่ 1 “รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ
เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ผู้ถูกจับที่ 2-11 “เป็นต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และควบคุมตัวพร้อมของกลางและนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เขาค้อ ภ.จว.เพชรบูรณ์ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น รับสารภาพ ตลอดข้อกล่าวหา อีกคดี ร่วมกันจับกุม นายชูชาติฯ อายุ 31 ปี (ผู้ขับขี่) ผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลต่างด้าว สัญชาติเมียนมา จำนวน 16 คน กระทำความผิดฐาน ผู้ต้องหาที่ 1 “รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ผู้ต้องหาสัญชาติเมียนมา 16 คน “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมตรวจยึดของกลาง
1.รถยนต์นั่งสามตอน ยี่ห้อ TOYOTA FORTUNER สีขาว จำนวน 1 คัน
2.กุญแจรถยนต์ จำนวน 1 ดอก สถานที่จับกุม บริเวณหน้าปั้มน้ำมัน ปตท.กม.330 ทล.12 ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก กก.1 บก.ทล.ได้มีการกวดขันจับกุมแรงานต่างต้าวผิดกฎหมายและผู้นำพาในเส้นทางพื้นที่ชั้นในอยู่บ่อยครั้ง พ.ต.อ.เอกนิรุจฒิ วันสิริภักดิ์ ผกก.1 บก.ทล. จึงได้สั่งการให้มีการสืบสวนถึงเส้นทางที่มีการลักลอบชนคนต่างท้าวผิดกฎหมายเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงกองกำกับการ 1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ทล.5 กก.1 บก.ทล. บูรณาการร่วมกัน สืบสวนในพื้นที่รับผิดชอบ จนกระทั่ง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สำรวจเส้นทาง โดยพบรถยนต์จำนวนประมาณ 2-3 คัน ขับขี่ผ่านมาด้วยความเร็วสูงและมีน้ำหนักที่รถยนต์มากกกว่ารถยนต์ปกติ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขับขี่ติดตามไปอย่างกระชั้นชิดพบรถยนต์นั่งสามตอน ยี่ห้อ TOYOTA FORTUNER สีขาว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสัญญาณไฟกระพริบสีแดงและใช้สัญญาณเสียงรวมถึงการพูดออออกคำสั่งผ่านไมโครโฟนเรียกรถยนต์คันดังกล่าวให้หยุด จนกระทั่งมาถึง บริเวณหน้าบั้มน้ำมัน ปตท. กม.330 ทล.12 ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
เจ้าหน้าที่ตำรวจขอทำการตรวจสอบพร้อมกับได้แสดงความบริสุทธิ์ใจจนเป็นที่พอใจแล้วเบื้องต้นสอบถาม นายชูชาติฯ (แสดงตนเป็นผู้ขับขี่) โดยมีผู้ถูกจับที่ 2-17 นั่งโดยสารมากับรถยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญรถยนต์คันดังกล่าวมาตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้งที่ สถานีตำรวจภูธรเขาค้อ ภ.จว.เพชรบูรณ์ พบว่า ผู้ถูกจับที่ 2-17 เป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง แต่อย่างใดแสดง โดยผู้ถูกจับนั่งโดยสารมาในรถยนต์คันดังกล่าว จากการสอบถามผู้ถูกจับที่ 1 ให้การยอมรับว่า ได้รับการประสานให้ไปรับแรงงานต่างด้าวจำนวน 16 คน ที่บริเวณ อ.วังเจ้า จ.ตาก เพื่อไปส่งปลายทาง จ.สระบุรี
โดยได้ค่าจ้าง 800 บาทต่อคน และรับว่าได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวบรรทุกแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองมาจริง และตนรู้ดีอยู่แล้วว่าแรงงานต่างด้าวทั้ง 16 คน ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารแทนหนังสือเดินทางใดๆ และยินยอมที่จะนำพามามาส่งที่ปลายทาง จนกระทั่งมาถูกตำรววจทางหลวงเรียกตรวจสอบ และสอบถามผู้ถูกจับที่ 2-17 ผ่านล่ามแปลภาษาเมียนมาให้การยอมรับว่า ได้ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติและเดินข้ามมาในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก
และจะมีคนพาคอกมาขึ้นรถที่นำพาเพื่อจะเข้ามาหางานทำในประเทศไทย โดยเสียค่าใช้จ่าย จำนวน 15,000-25,000 บาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหา ผู้ถูกจับที่ 1 “รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยด้วยการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ผู้ถูกจับที่ 2-17 “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และควบคุมตัวพร้อมของกลางและนำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจ สภ.เขาค้อ ภ.จว.เพชรบูรณ์ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ นนทบุรี