
รวบผู้ต้องหาเพิ่ม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลวง ชาล็อต ออสติน สูญเงินกว่า 4 ล้าน จับกุมสาวสองอดีตบัญชีม้าแถวแรก ผันตัวเป็นผู้จัดหา
วันที่ 18 ธ.ค.67 พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร.รรท.ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท.,พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงความคืบหน้า ปฏิบัติการล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลวง “ชาล็อต ออสติน” สูญเงินกว่า 4 ล้านบาท จับกุมสาวสองอดีตบัญชีม้าแถวแรก ผันตัวเป็นผู้จัดหา
สืบเนื่องจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ธ.ค.67 บช.สอท. ได้มีการจัดแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์แถลงความคืบหน้า ปฏิบัติการล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลวง “ชาล็อต ออสติน” สูญเงินกว่า 4 ล้านบาท รวบบัญชีม้าแถวแรก พบรับจ้างข้ามแดนไปสแกนหน้าฝั่งเขมร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ กก.3 บก.สอท.1 ได้สืบสวนจนจับกุมตัว นางสาวปาริฉัตต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นบัญชีม้าแถวแรก และมีการข้ามแดนไปสแกนหน้าที่ฝั่งประเทศกัมพูชา
จากคำให้การของ นางสาวปาริฉัตต์ ว่ามีผู้ที่จ้างเปิดบัญชีได้เดินทางมาที่บ้านของตนเพื่อถ่ายรูปสมุดบัญชีธนาคารที่เปิดใหม่ และแจ้งว่าตนและสามีต้องเดินทางไปที่ประเทศกัมพูชา จำนวน 2 วัน จากนั้นช่วงค่ำได้มีรถแท็กซี่มารับตนกับสามี ไปลงที่บริเวณตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แล้วเดินเท้าผ่านช่องทางธรรมชาติ ไปยังตึกแถวแห่งหนึ่งในประเทศกัมพูชา
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ กก.3 บก.สอท.1 ได้สืบสวนขยายผลต่อ เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีเพิ่มเติม จนสามารถจับกุมตัว นายอาทิตญา อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดนนทบุรี ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 6178/2567 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2567 โดยจับกุมตัวได้ที่หน้าบ้านพักหลังหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่ที่ 3 ต.บางศรีเมือง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นผู้ที่ว่าจ้าง นางสาวปาริฉัตต์และสามี ให้เปิดบัญชีม้า และเดินทางข้ามแดนไปสแกนหน้าที่ประเทศกัมพูชา
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการตรวจค้นในบ้านหลังดังกล่าว ตามหมายค้นของศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ ค.1119/2567 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ซึ่งนายอาทิตญาเป็นผู้นำการตรวจค้น จากการตรวจค้นพบ สมุดบัญชีธนาคารของบุคคลอื่น 12 เล่ม, โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง, ซิมการ์ด และบัตร ATM
จากการสอบถามนายอาทิตญา ให้การว่า ตนเคยถูกว่าจ้างให้เปิดบัญชีและไปสแกนหน้าที่ประเทศกัมพูชามาก่อน หลังจากที่บัญชีถูกอายัดแล้ว จึงเดินทางกลับมาประเทศไทย แต่ก็ยังติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการที่รู้จักกันที่กัมพูชาอยู่ จึงผันตัวมาเป็นคนกลางผู้รวบรวมบัญชีม้า แล้วส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านแทน
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ ด้วยการขู่เข็ญ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือ ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยเป็นการกระทำต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด, เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มีการขายบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใดและมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
ทั้งนี้ ตำรวจไซเบอร์อยู่ระหว่างเร่งสืบสวนขยายผลเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีเพิ่มเติม และยืนยันว่าตำรวจไซเบอร์ทุกนายมีความตั้งใจในการทำคดีอย่างเต็มที่ในทุกคดี เพื่อเป็นที่พึ่งและเยียวยาความเดือดร้อนของผู้เสียหายทุกราย ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนมีชื่อเสียง บุคคลทั่วไป หรือกลุ่มเปราะบาง จึงขอให้มั่นใจในการทำงานของตำรวจไซเบอร์
ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ กทม. รายงาน