เก็บเงินทั้งชีวิต เกือบ 4 ล้าน หลาน วัย 17 โอนให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกลี้ยง

เก็บเงินทั้งชีวิต เกือบ 4 ล้าน หลาน วัย 17 โอนให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกลี้ยง

วันที่ 12 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่ง หมู่บ้านกุดค้า หมู่ที่ 10 ต.ทุ่งฝน อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี หลังได้รับการร้องเรียนจากนายวันดี อายุ 63 ปี นางอภัย อายุ 56 ปี สองสามีภรรยา เจ้าของบ้าน ว่า หลานชายคือนายรพีภัทร หรือน้ำ อายุ 17 ปี ถูกแก็งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง โดยโทรศัพท์มาข่มขู่ว่าหลานรับจ้างเปิดบัญชีม้า เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เมื่อหลงเชื่อได้โอนเงินจากบัญชีของพวกตนซึ่งเป็นปู่และย่า ให้เขาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็โอนเงินไปจนหมดบัญชี สูญเงินไปทั้งสิ้น 3,412,642 บาท

ด้านนายรพีภัทร เล่าว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ธันวาคม 2567 ตนได้รับโทรศัพท์จากชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นตำรวจดีเอสไอ บอกว่าได้จับกุมคดีฟอกเงิน มีการอายัดบัญชีธนาคาร 48 เล่ม โดย 1 เล่มเป็นของตน ซึ่งจะต้องถูกตรวจสอบ หลังจากนั้นก็ให้ตนแอดไอดีไลน์ ก่อนจะส่งเอกสารมาในไลน์ ระบุเป็นคำสั่งลับจากทางราชการ ขออายัดบัญชีและตรวจสอบ เขาพูดจาน่าเชื่อถือ พูดเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ พูดกับตนจนเกิดความกลัวว่าจะถูกจับจริงๆ จากนั้นก็พูดคุยผ่านวิดีโอคอลกับผู้หญิงใส่ชุดเครื่องแบบ เขาก็พูดจาโน้มน้าวให้เชื่อ มีการสลับไปพูดคุยกับตำรวจผู้ชาย แต่งตัวคล้ายตำรวจเช่นกัน ก็ยิ่งทำให้ตนหลงเชื่อ ทุกครั้งก็จะเน้นว่าเป็นความลับ ห้ามบอกใคร

หลังจากตนหลงเชื่อแล้วก็ถามว่าบัญชีตนมีเงินเท่าไหร่ ตนก็บอกไม่มี เขาขู่ขอตรวจสอบบัญชีว่าไม่ติดขัดด้านการเงิน ไม่ได้เป็นบัญชีม้า ให้ตนไปหาเงินมาโอนเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบ เพราะตนอาจจะโอนไปไว้บัญชีคนอื่น ตนก็บอกว่าอยู่กับปู่กับย่า จะมีเงินได้อย่างไร แต่ตนก็หลงเชื่อโอนเงินจากบัญชีย่าไปให้เขาตรวจสอบ จากนั้นก็มีการโน้มน้าวอีก จนโอนไปอีกหลายครั้ง ตั้งแต่หลักหมื่น หลักแสน เยอะที่สุดเกือบ 2 ล้านบาท โอนตั้งแต่ช่วงเที่ยงจนถึง 18.00 น. ตนโอนไปทั้งสิ้น 12 ครั้ง ทั้งจากบัญชีย่าและปู่ รวมเป็นเงิน 3.4 ล้านบาท ตอนนั้นก็ยังเชื่อเขาอยู่ เพราะตนกลัวมาก

นายรพีภัทร เล่าอีกว่า กระทั่งตอนเช้าก็ได้มาปรึกษาย่า เพราะเขาบอกให้ย่าเข้ามาพูดคุยในวิดีโอคอลด้วย เขาบอกให้ย่าเอาทองไปจำนำ แล้วให้โอนเงินไปตรวจสอบ แต่ย่าไม่ยอมทำตาม หลังจากนั้นก็เริ่มติดต่อไม่ได้ แล้วถูกบล็อกไลน์ทันที โทรไปก็ไม่ติด หลังจากนั้นตอนเช้าตนก็เริ่มหาข่าว ก็ตรวจสอบพบว่ามีข่าวของพี่ชาล็อต ออสติน ก็พบว่ามีพฤติกรรมแบบเดียวกัน ตนก็เลยรู้ว่าถูกมิจฉาชีพหลอกแล้ว รู้สึกตกใจและเสียใจมาก ที่ทำให้ปู่และย่าเดือดร้อน

นางอภัย ผู้เป็นย่าของนายรพีภัทร เล่าว่า ช่วงที่คุยวิดีโอคอล เขาก็ยังพูดจาโน้มน้าวให้เอาทองไปจำนำ เพราะถ้าไม่ให้ตรวจสอบจะมาจับที่บ้าน จะยึดทรัพย์สินทุกอย่าง สุดท้ายตนก็ไม่ได้ไปจำนำทอง แล้วก็ติดต่อเขาไม่ได้ จึงรู้ว่าถูกหลอก ต่อมาตนไปแจ้งความที่ สภ.ทุ่งฝน ไปอายัดบัญชีคนร้ายทั้งหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าอายัดทันหรือไม่ อยากให้ตำรวจช่วยเหลือด้วย อยากได้เงินกลับคืนมา เพราะเป็นเงินเก็บมาทั้งชีวิต ปู่ไปทำงานเมืองนอกมาหลายประเทศ ทำมานานกว่า 18 ปี ปู่กลับมาก็พาย่า และลูกๆ ไปทำงานที่ บ.ซิโนไทย อีกหลายปี เงินในบัญชีตอนนี้หมดแล้วทุกบัญชี ไม่เหลือเลยสักบาท ให้อภัยหลานอยู่แล้ว เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก เหมือนลูกคนหนึ่ง

ด้านนายวันดี ปู่ของนายรพีภัทร เล่าว่า หลานแอบทำเรื่องนี้คนเดียว หลานมาสแกนหน้าย่าขณะนอนพักผ่อนในบ้าน บอกจะทำแอพพลิเคชั่น กระทั่งตอนบ่ายสองโมง หลานมาชวนย่าไปธนาคารเพื่อไปถอนเงิน บอกว่าจะเอามาให้เขาตรวจสอบ หลานก็ทำท่าจุ๊ปาก ให้เงียบไว้ ห้ามแพร่งพายบอกใคร เดี๋ยวจะถูกจับ ตนก็ถามว่าตำรวจอยู่ไหน หลานก็บอกว่าอยู่ธนาคารเต็มเลย ตนก็ห้ามแต่หลานก็ไม่ฟัง ย่าก็พาหลานไปทันที พอกลับมาแล้ว ตอนที่รู้ว่าเงินหมดบัญชีแล้ว ตนก็ต่อว่าหลานทำไมถึงโง่จัง อย่างอื่นทำไมเก่ง หลานก็บอกกลัวเขามาจับ

ปู่ให้อภัยหลานอยู่แล้ว ไปแจ้งความ ตำรวจก็ถามจะแจ้งความหลานหรือไม่ ผมก็บอกถ้าจะจับหลานก็เหมือนจับผม ไม่ต้องดำเนินคดีหลาน ตอนแรกผมไม่ได้ตกใจ แต่พอมานอนคิดเมื่อคืนก็ได้แต่นอนน้ำตาไหล เพราะเป็นเงินเก็บมาทั้งชีวิต ตอนนี้แก่มากแล้ว หากไม่ได้เงินคืน ก็คงต้องหากินไปวันๆ อยู่ไปตามประสาแบบนี้ หากติดต่อกันได้ ตอนนั้นก็คงไม่ต้องเสียเงินขนาดนี้ หากผมรู้ คงต่อว่ากันได้ก่อน ปกติหลานเป็นคนไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ แม้แต่ปู่ย่าที่เลี้ยงมายังไม่ค่อยเชื่อ แต่เขาแค่มาขู่ก็เชื่อเขา ทำไมหลานถึงทำตัวแย่ได้ขนาดนี้” นายวันดี กล่าว

ทีมข่าวสยามนิวส์ จังหวัดอุดรธานี รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ