เด็กปั๊มวัย 19 สู้ชีวิตแต่เด็ก หอบน้องๆ 3 คน หนีพ่อแม่ติดยา จะนำตัวไปค้ามนุษย์ ต้องทิ้งฝันเพื่ออนาคตน้อง

เด็กปั๊มวัย 19 สู้ชีวิตแต่เด็ก หอบน้องๆ 3 คน หนีพ่อแม่ติดยา จะนำตัวไปค้ามนุษย์ ต้องทิ้งฝันเพื่ออนาคตน้อง

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2567 นายอรรถวิทย์ อะวิสัย หรือ ปลาย อายุ 19 ปี เด็กปั๊มสู้ชีวิต ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องราวชีวิตที่แสนจะหดหู่ เมื่อตัวเองเป็นพี่ชายคนโต ต้องคอยดูแลน้องทั้ง 3 คน หลังจากตัดสินใจหนีพ่อกับแม่มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะไม่อยากอยู่ในวงโคจรยาเสพติด และไม่อยากให้แม่เอาน้องไปขายให้กับลูกค้า

โดย นายอรรถวิทย์ กล่าวว่า ตนมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ซึ่งตนเป็นพี่ชายคนโต ตั้งแต่จำความได้ ตนอาศัยอยู่กับพ่อแม่และย่า มักจะเห็นพ่อกับแม่เสพยาเสพติดเป็นประจำ ทำให้จำกลิ่นของสารเสพติดเหล่านั้นได้ พ่อแม่ใช้ชีวิตทั้งเสพยาเสพติด ส่งยาเสพติดเสมอ ย่าก็บอกตนว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเหล่านี้ เพราะมันไม่ดี ตนเคยเตือนพ่อกับแม่ไปแล้ว แต่ทั้งคู่ไม่ฟัง แม้กระทั่งมีน้อง 3 คน พ่อแม่ก็ไม่เลิก

ต่อมา พ่อแม่ถูกจับในคดียาเสพติด ทำให้ตนทั้ง 4 คน อาศัยอยู่กับย่าเล็กและย่าใหญ่ ท่านทั้ง 2 คนดูแลพวกเราดีมาก ไม่เคยปล่อยให้อดอยาก ทุกครั้งที่เงินเดือนออกก็จะพาไปกินของอร่อย ๆ เสมอ จนชีวิตมาพลิกผันเมื่อตนอายุ 12 ปี คุณย่าทั้ง 2 คนเสียชีวิต พ่อแม่ก็ยังอยู่ในคุก ทำให้ย่าฝากฝังให้ไปอยู่กับอา ตอนนั้นก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป แต่อยู่ได้ไม่นานอาก็เลี้ยงพวกเราไม่ไหว จึงตัดสินใจติดต่อไปหาพี่สาวที่เป็นแม่เดียวกันแต่คนละพ่อมารับพวกเราไปดูแล ซึ่งตอนแรกพี่สาวก็มารับไปอยู่ มีกินมีใช้ พาไปเที่ยวทะเลที่พวกเราไม่เคยไป

จากนั้น พี่สาวก็จะพาไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดด้วยกัน แต่ปรากฏว่าพี่สาวก็มีปัญหากับแฟนอีก ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูพวกตนได้เหมือนเดิม ในช่วงแรกก็ยังส่งเงินมาให้ แต่พอช่วงหลังพี่สาวก็ค่อย ๆ หายไป พวกเราเลยต้องเริ่มต้นในการดูแลตัวเอง ขณะนั้นตนยังเรียนอยู่ชั้น ม.2 โชคดีที่มีคุณลุงใจดีอาศัยอยู่บ้านใกล้ ๆ เอาอาหารมาให้พวกเราทานทุกวัน

ตอนนั้นรู้สึกท้อแท้ในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ เคยคิดว่าอยากจะไปตามย่าเพื่อให้ทุกอย่างมันจบ แต่หันมาก็ยังมีน้อง 3 คนที่รอเราอยู่ ครั้งหนึ่งอยากจะบวชตลอดชีวิตเพื่อให้น้องมีข้าวกินในทุกวันด้วย แถมที่ผ่านมาเคยเกือบหลงผิดจะไปส่งยาบ้า เพราะคิดว่าจะได้มีเงินเยอะเอามาเลี้ยงดูน้องคนที่เหลือ แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะไม่อยากติดคุก ถ้าหากเราติดคุกแล้วน้องไปติดยาเสพติดอีก ก็ไม่อยากให้มีชีวิตที่แย่ไปมากกว่านี้

ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ตนต้องดิ้นรน หางานรับจ้างทำและดูแลน้อง ๆ ทั้ง 3 คน ช่วงเวลานั้นลำบากมาก แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา กระทั่งต่อมา แม่ออกจากคุกและมาอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งแม่ก็มีพฤติกรรมเหมือนเดิม พาผู้ชายเข้ามาในบ้าน แล้วพลอดรักกันต่อหน้าต่อตาลูก พ่อเลี้ยงบังคับให้น้อง ๆ ทุกคนไปส่งยา ถ้าหากไม่ไป พวกเราก็มักจะโดนทำร้ายร่างกายอยู่เป็นประจำ

จนกระทั่ง เมื่อปีที่ผ่านมา วันนึงแม่บอกว่าจะเอาน้องสาวคนกลางไปขายให้กับลูกค้า อ้างว่าจะหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ในขณะนั้นน้องยังเรียนอยู่ชั้นประถมอยู่เลย ตนรับไม่ได้ และไม่ยอมให้แม่เอาน้องไปขายเด็ดขาด ตนคิดว่าแม่จะเอาน้องไปขายจริง เพราะก่อนหน้านี้แม่เคยติดคุกในคดีค้ามนุษย์มาก่อนด้วย

เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ตนจึงพาน้องทั้ง 3 คน ออกมาจากแม่ เพราะไม่อยากให้น้องมีชะตากรรมที่เลวร้าย และไม่ติดต่อแม่อีกเลย ตอนนี้ก็มาอาศัยอยู่บ้านเช่าเดือนละ 3,500 บาท ตนก็มีอาชีพเป็นเด็กปั๊ม ทำงานส่งน้องเรียน ส่วนน้องคนอื่น ๆ เลิกเรียนก็ไปหาอาชีพเสริมทำ น้องคนรองไปเป็นลูกจ้างเลี้ยงดูสัตว์ ได้เงินวันละ 300 บาท น้องคนกลางก็จะดูแลบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าวให้ทุกคน และจะเป็นคนคำนวณค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เพราะน้องเก่งคณิตศาสตร์มาก ส่วนน้องคนเล็ก อายุ 12 ปี หลังจากเลิกเรียนแล้ว ก็ไปรับจ้างขายนมเปรี้ยวทุกเย็น

นายอรรถวิทย์ กล่าวว่า ไม่คิดว่าชีวิตจะลำบากขนาดนี้ ในอายุ 19 ปี เพื่อน ๆ ได้เรียนมหาวิทยาลัยได้ใส่ชุดนักศึกษา แต่ผมจบแค่ ม.3 ความฝันก็อยากจะใส่ชุดนักศึกษาเหมือนคนอื่น เวลาลูกค้ามาเติมที่ร้านก็จะแอบถามตลอดว่า เรียนอยู่มหาวิทยาลัยไหน เคยคิดอยากจะใส่ชุดนักศึกษาสักครั้งในชีวิต แต่ตอนนี้ความคิดเปลี่ยนไป อยากจะทำงานส่งน้องเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้ เพราะว่าน้องเก่ง อยากให้น้องได้เป็นหมอมีอนาคตที่ดี

ทุกวันนี้ผมมีความสุขแล้วที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับน้องทั้ง 3 คน แต่ก่อนคิดว่าอยากจะมีบ้านหลังใหญ่โต แต่ตอนนี้บ้านเช่าแค่นี้ก็อยู่ได้อย่างมีความสุขแล้ว เพราะว่าเรามีกันและกัน พี่คนนี้ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ในวันไหนที่พี่ไม่อยู่ก็อยากจะให้น้องดูแลตัวเองและน้องคนที่เหลือต่อไป

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ