เงินผมหายไปไหน ดาบร้องสื่อ หลังสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ หักเงินใช้หนี้ ไม่ตรงยอดชำระ ทวงถามส่วนต่างที่หายไปแต่ไร้คำตอบ

เงินผมหายไปไหน ดาบร้องสื่อ หลังสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ หักเงินใช้หนี้ ไม่ตรงยอดชำระ ทวงถามส่วนต่างที่หายไปแต่ไร้คำตอบ

วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด.ต.กิตติศักดิ์ กำแก้ว ผบ.หมู่(ป.) สภ.โพนเขวา ได้เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน หลังจากไม่ได้รับความเป็นธรรม กรณี ดอกเบี้ยเงินปันผลของเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจจังหวัดศรีสะเกษ ที่ต้องนำส่งต่อสำนักงานบังคับคดีจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อส่งต่อเจ้าหนี้ ได้หายไป และมียอดไม่ตรงกับความเป็นจริง

ด.ต.กิตติศักดิ์ กำแก้ว เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า สาเหตุของการที่ตนถูกอายัดเงินปันผลสหกรณ์ออมทรัพย์ เนื่องมาจาก ตนได้ไปค้ำรถยนต์ให้กับคนรู้จักคนหนึ่งที่จังหวัดอุบลราชธานี แต่ทางคนที่ซื้อรถยนต์ ที่ตนไปค้ำให้นั้นไม่สามารถผ่อนจ่ายค่ารถยนต์ และประกอบกับทำรถยนต์หาย ทำให้ตนในฐานะผู้ค้ำ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแทนเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยศาลจังหวัดอุบลราชธานี มีคำสั่งให้อายัดเงินปันผลพร้อมเงินเฉลี่ยของตน จากสหกรณ์ออมทรัพย์ทั้งหมด ส่งให้สำนักงานบังคับคดี เพื่อนำส่งแก่โจทย์ ตั้งแต่ปี 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งตนก็ไม่ได้ติดใจอะไรในเรื่องนี้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2564 ด้วยความสงสัย จึงได้ขอคัดสำเนารายการที่สหกรณ์ออมทรัพย์ นำส่งบังคับคดี ว่าเป็นยอดเงินเท่าไร และเหลือหนี้เท่าไร แต่จากการที่ตนตรวจสอบเอกสาร ปรากฏว่า ในปี 2557 สหกรณ์ออมทรัพย์ได้นำส่งเงินที่อายัดของตน เป็นจำนวนเงินเพียง 6,172 บาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ในปี 2557 ตนจะได้เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนเพียงเท่านี้ เพราะตนมั่นใจว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตนได้ปันผลและเงินเฉลี่ยคืนไม่น้อยกว่า 25,000 บาท หรือหากจะเป็นตามที่ตนคำนวณ ตนจะต้องได้เงินเฉลี่ยคืนประมาณ 34,513.13 บาท แล้วยอดเงินที่เหลือหายไปไหน อีกทั้งยอดเงินในรายการที่สหกรณ์ออมทรัพย์ส่งมอบให้กับสำนักงานบังคับคดี ที่ตนได้ตรวจดูในสำนวนคดี ปรากฏว่า ในแต่ละปียอดเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนไม่ตรงกับกับยอดจริงที่ตนควรจะได้รับ อีกทั้ง เมื่อตนได้ไปขอคัดสำเนารายการจ่ายเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนให้แก่สมาชิก จากเจ้าหน้าที่การเงิน สภ.โพนเขวา มาบางส่วน ตั้งแต่ปี 2560 – 2563 แต่ปรากฏว่า ปี 2563 ตนได้เงินปันผลถึง 33,680 บาท เงินเฉลี่ยคืน 21,007 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 54,687 บาท ซึ่งยังไม่มียอดนำส่งแก่โจทย์ ปรากฏอยู่ในรายการสำนวนคดีแต่อย่างใด

ด.ต.กิตติศักดิ์ กำแก้ว กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ตนออกมาร้องเรียนกับสื่อมวลชนในครั้งนี้ เนื่องจากตนเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการหักและอายัดเงินปันผลพร้อมเงินเฉลี่ยของตน และเมื่อพยายามสอบถามถึงรายละเอียดและความมูลความจริง กลับมีการบ่ายเบี่ยงในการตอบคำถามมาโดยตลอด ลักษณะเหมือนมีการปกปิดข้อมูลการกระทำผิด ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้ ตนได้ทำการแจ้งความลงบันทึกประจำวัน กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 แต่ระยะเวลาผ่านไป เกือบ 4 ปี แล้ว เปลี่ยนผู้บังคับบัญชามา 3 คน คดีกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เพราะตนก็เป็นเพียงข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย กลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จ.ศรีสะเกษ รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ