หนุ่มใหญ่หายสาบสูญไป 30 ปี จู่ๆกลับบ้าน พร้อมเล่าเรื่องราวหากไม่มีกงศุลใหญ่ช่วยเหลือ ตนคงไม่ได้กลับบ้าน พร้อมเล่าชีวิตที่หายไป

หนุ่มใหญ่หายสาบสูญไป 30 ปี จู่ๆกลับบ้าน พร้อมเล่าเรื่องราวหากไม่มีกงศุลใหญ่ช่วยเหลือ ตนคงไม่ได้กลับบ้าน พร้อมเล่าชีวิตที่หายไป

วันที่ 8 มี.ค.67 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านนาพู่ อ.เพ็ญ เนื่องจาก มีเรื่องราวเหลือเชื่อหนุ่มใหญ่อุดรลงเรือประมง 30 ปีไม่ติดต่อกลับมาบ้าน จนญาติพี่น้องนึกว่าตายหรือหายสาบสูญแล้ว แจ้งเป็นคนสูญหาย แต่กลับโผล่กลับมาบ้าน ชาวบ้านแทบช็อคทำพิธีบายศรีสู่ขวัญรับกลับบ้านอย่างอบอุ่น โดยที่บ้านเลขที่ 182 หมู่ 12 บ้านนาพู่ ต.นาพู่ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี นายอำนวย อินทรธิราช นายก อบต.นาพู่ พร้อมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่กองสวัสดิการสังคม ร่วมกับศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.อุดรธานี และญาติพี่น้องของ นายสุระจันทร์ ภูริศรี หรือโย่ อายุ 49 ปี ได้ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ เรียกขวัญกลับบ้าน ท่ามกลางความดีใจและช็อคของญาติพี่น้อง

นายสุระจันทร์ หรือ ตาโย่ บอกว่า ตนออกจากบ้านไปตอนอายุ 19 ปี ไปทำงานครั้งแรกโดยใช้บัตรเหลือง ยังไม่มีบัตรประชาชน ไปทำงาน แถวบ้านเพ จ.ระยอง ทำงานรับจ้างทั่วไปอยู่หลายปี ก็ข้ามมาแถวพัทยา ทำงานเกือบ 6 ปี เงินไม่ดี มีเพื่อนชวนไปทำงานที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ อีก 4-5 ปี เงินไม่ดี ก็เลยออกเรือกับเพื่อนๆ โดยทำงานเป็นตังเกในเรือประมง ก็ตัดสินใจลงเรือไปข้ามไปแถว จ.ปัตตานี ผมได้รู้จักกับแม่บุญธรรม ซึ่งท่านดี กับผมมาก ชื่อ แม่ติ๋ม (ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ พร้อมกับน้ำตาคลอ) ผมป่วยไม่สบาย แม่ติ๋มได้พาผมไปหาหมอ รักษาจนหายดี ผมจึงได้เดินทางเข้ามาเลเซีย ไปทำงาน ซึ่งเพื่อนบอกอีกว่า ข้ามไปฝั่งมาเลเซียจะได้เงินดี จึงตัดสินใจไป ได้เงินเดือนประมาณ 15,000-25,000 บาทแล้วแต่เดือน ตนก็ทำงานไปเรื่อยไม่ได้ติดต่อกลับมาทางบ้านที่อุดร แต่ได้ติดต่อกับแม่บุญธรรมตลอด กระทั่ง ผมจนถูกทางการมาเลเซียจับเมื่อวันที่ 5 ม.ค.65 ในข้อหาไม่มีพาสปอร์ตเข้าประเทศ ติดคุกร่วมกันกับเพื่อน 6 คน แต่เพื่อนอีก 5 คนสามารถ ออกจากคุกได้ ด้วยการช่วยเหลือ ของกงศุลไทย และด้วยที่เพื่อนมีบัตรประชาชน ส่วนผมไม่มีเอกสารหลักฐานใดๆ เลย ติดคุกอยู่ 1 ปี 2 เดือน กระทั่งมีเจ้าหน้าที่ทางมาเลฯ และเจ้าหน้าที่กงศุลไทยช่วยเหลือ รวมๆ แล้วที่ตนออกจากบ้านประมาณ 30 ปี

บุคคลที่ผมอยากขอบคุณมากๆ คือ กงศุลไทย กงศุลใหญ่ เจ้าหน้าที่ท่านทำให้ผมอบอุ่นใจมาก ผมประทับใจอย่างสุดซึ้ง เพราะผมไม่มีเอกสารใด ที่บ่งบอกว่าผมเป็นคนไทย มีญาติพี่น้องอยู่อุดรธานี พอบอกว่ามีญาติพี่น้องอยู่ที่ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ก็ไม่มีหลักฐานของตนอยู่ในระบบ เนื่องจากญาติแจ้งว่าตนเสียชีวิต ในระบบก็แจ้งออกไป ท่านก็ได้ช่วยสืบค้นหา จนกระทั่ง สามารถนำผม กลับมาถึงบ้านได้ และ พมจ.ซึ่งท่านได้เข้ามาดูแลกระทั่งมาถึงบ้าน เมื่อมาถึงที่บ้าน นาพู่ ผมได้มาเจอกับญาติพี่น้อง บางคนผมจำได้ บางคนผมก็จำไม่ได้ ผมดีใจมากขอบคุณทุกท่านที่ ได้ช่วยเหลือผม กระทั่งสามารถมาถึงที่บ้านได้ แม่ติ๋มอีกคน แม่บุญธรรมของผม อยู่ตากใบ ผมระลึกถึงท่านเสมอ ท่านมีบุญคุณกับผม (ร้องไห้)

นายอำนวย อินทรธิราช นายก อบต.พู่ ได้กล่าวว่า ไปทำงาน ที่ประเทศมาเลเซียตั้งแต่อายุ 19 ปี การส่งตัวกลับ กดคอมพิวเตอร์ที่ภาคใต้ ปรากฎว่าไม่มีชื่อในสาระบบ ซึ่งญาติได้แจ้งว่าเสียชีวิตแล้ว เลยไม่มีชื่อในสาระบบ ไม่มีบัตร วันจันทร์ ตอนเย็น จะทำการประชาคม และมีบันทึก ว่าเป็นชาวนาพู่จริง จากนั้นจะไป ร.ร.เพื่อหาหลักฐาน ว่าเคยเป็นนักเรียนและเรียนที่บ้านนาพู่ และวันอังคารจะพาไปทำบัตรประชาชน ซึ่งเมื่อวานนี้ ทันทีที่นายสุระจันทร์ เดินทางมาถึงบ้าน พวกผมพร้อมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่กองสวัสดิการสังคมร่วมกับศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.อุดรธานี และญาติพี่น้อง ได้ร่วมกันบายศรีสู่ขวัญรับขวัญนายสุรจันทร์ ท่ามกลางความดีใจของทุกๆคน

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จังหวัดอุดรธานี รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ