13 ชีวิต นั่งกินข้าว กางเต็นท์นอนข้างถนน อ้างถูกเจ้าของที่ปิดทางเข้าออกบ้าน ก่อนเจ้าของที่โต้กลับ ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด

13 ชีวิต นั่งกินข้าว กางเต็นท์นอนข้างถนน อ้างถูกเจ้าของที่ปิดทางเข้าออกบ้าน ก่อนเจ้าของที่โต้กลับ ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ เพจ โหนกระแส ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ครูขอความช่วยเหลือ บ้านนักเรียนอยู่พื้นที่ตาบอด ถูกปิดทางเข้าออก ต้องกางเต็นท์นอนริมถนน  จากกรณีเพจสื่อครยกไลฟ์พูดคุยกับนักเรียนและชาวบ้านที่ต้องมากางเต็นท์นอนริมถนน เพราะ ถูกปิดทางเข้าบ้าน ในพื้นที่หมู่ 4 ต.บ้านพร้าว จ.นครนายก เบื้องต้นทราบว่า บ้านหลังนี้อยู่ในพื้นที่ตาบอด เนื่องจากก่อนหน้านี้ญาติมีการแบ่งที่กัน แต่ต่อมาทราบว่ามีปัญหา มีการกั้นอาณาเขตไว้ จนทำให้มีบ้านประมาณสามหลังถูกปิดทางเข้าออก 

โดยมีการแบ่งที่ไว้เล็กๆ สำหรับเดินเข้าออกได้เท่านั้น แต่พบปัญหาการเข้าออกไม่สะดวก ทำให้มีเด็กนักเรียนของโรงเรียนหนึ่ง ต้องมานอนที่ริมถนนเป็นคืนที่ 3 แล้ว โดยกางเต็นท์ตรงทางลาด บริเวณไหล่ทาง และนอนแบบไม่มีมุ้ง ซึ่งค่อนข้างอันตราย หากรถขับมาเร็ว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ล่าสุด คุณครูของกลุ่มนักเรียนดังกล่าวได้เดินทางไปตรวจสอบแล้ว และจะเร่งช่วยเหลืออย่างเร็วที่สุด

ต่อมา เพจโหนกระแส ได้เผยความคืบหน้าของทางฝั่ง เจ้าของที่ระบุว่า

เจ้าของที่แจงเหตุปิดทางเข้าออก ทำครอบครัว 13 ชีวิตต้องนอนข้างถนน พร้อมแฉวีรกรรมเพียบ 

จากกรณีที่เพจสื่อครยก โพสต์คลิปครอบครัวกว่า 13 ชีวิต นั่งกินข้าว และกางเต็นท์นอนข้างถนน เพราะบ้านอยู่ในพื้นที่ตาบอด ถูกปิดทางเข้าออก และครูของหนึ่งในนักเรียนที่นอนข้างถนนได้ขอความช่วยเหลือ เพราะเกรงว่านักเรียนจะได้รับอันตรายนั้น ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับเจ้าของที่ ซึ่งเป็นคู่กรณีกับครอบครัวดังกล่าว 

สอบถามถึงสาเหตุที่ปิดทางเข้าออกไม่ให้ครอบครัวนี้ใช้ ซึ่งหญิง อายุ 45 ปี เผยว่า ทางที่ครอบครัวนี้ใช้เดินเข้าออก ทางคุณพ่อเคยให้ใช้ เนื่องจากสมัยก่อนเป็นหัวคันนา พ่อก็เห็นว่าไม่มีทางเข้าออกกัน จึงอนุญาตให้ใช้กัน แต่ก่อนคุณพ่อจะเสียชีวิต ก็ได้บอกกับครอบครัวนี้แล้วว่า ต่อไปลูกหลานท่านจะสร้างอะไรหรือจะปิดทางก็แล้วแต่ลูกหลาน เพราะตนนั้นไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งที่จะตกเป็นของลูกหลานต่อไป แต่หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตไป ทางครอบครัวตนก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปิดทางแต่อย่างใด

แต่เหตุที่ปิดนั้น เนื่องจากว่า ตนเดินออกไปเห็นครอบครัวนี้ตีหมาของตน ซึ่งหมาก็ได้วิ่งไปเห่าคนเดินตามปกติ หมาไม่ได้ดุร้ายอะไร เพียงแค่เห็นคนเดินผ่านบ้านก็จะวิ่งไปเห่าเพียงเท่านั้น ซึ่งพอตนเห็น ก็ได้ตะโกนว่าจะตีมันทำไม ซึ่งเขาชี้หน้าตนกลับ และต่อว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และได้บอกว่าหมามึ_มากัดเด็ก แต่ตนมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดว่า หมาเพียงแค่เห่าเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนถูกชี้หน้าด่า ซึ่งที่ผ่านมาตนถูกด่า แต่ก็ไม่เคยคิดจะปิดทางเข้าออกแต่อย่างใด 

แต่ครั้งนี้ตนนั้นรับไม่ได้ที่หมาของตนถูกตีต่อหน้า ตนจึงโมโห และได้พูดไปว่า หากหมามันกัดก็มาเรียกค่าเสียหายไม่ใช่ไปตีมัน แต่ถ้าเดินเข้าออกแล้วหมามันจะกัดจริงๆ งั้นก็ไม่ต้องเดินกัน จากนั้นตนจึงได้นำป้ายไปปิดทางเข้าออก ซึ่งต่อมาก็มีทางกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อส.มาเจรจา เพื่อขอให้เปิดทางให้ครอบครัวดังกล่าวนั้นเข้าไปพักก่อน เนื่องจากดึกแล้ว ตนก็เห็นใจ ยอมให้เข้า

และได้บอกว่า พรุ่งนี้ออกมาแล้วก็ไปเอาหมายศาลมาแล้วจะเปิดให้ เนื่องจากว่าครอบครัว 13 คนได้พูดว่า จะไปฟ้องศาล ซึ่งตนก็ได้บอกไปว่า ถ้ามีหมายศาลมาตนก็พร้อมเปิดให้ แต่ขอให้ไปเอามาก่อน ซึ่งในส่วนที่ทางครอบครัวดังกล่าวนั้นได้ถ่ายภาพนั่งกินข้าวกับนอนข้างถนน ไปให้ทางเพจลงโซเชียล เพื่อให้คนมาด่าครอบครัวตนนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากว่า ข้างๆ จุดที่ครอบครัวนั้นนั่งถ่ายภาพ เป็นร้านค้าสังกะสีขนาดใหญ่ของครอบครัว 13 คนนี้ ที่สามารถกินอยู่ได้อย่างสบาย ไม่จำเป็นต้องไปนั่งอยู่ริมถนนแบบนั้น แต่ตนคิดว่าครอบครัวนี้ตั้งใจสร้างภาพขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากประชาชน 

ซึ่งจริงๆ แล้ว ตั้งแต่ช่วงกลางคืนที่ผ่านมา และช่วงเช้า ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะเข้ามา ครอบครัวนี้ก็ยังคงเดินเข้าออกกันตามปกติ โดยที่เดินอ้อมป้ายที่ตนตั้งไว้ ซึ่งครอบครัวตนก็เห็น และมีกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ตลอด ซึ่งตนก็ไม่ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีใดๆ แต่ครอบครัวนี้กลับไปลงในโซเชียลว่า กินนอนข้างถนนทั้งคืน ไม่ได้เข้าบ้าน ซึ่งตนก็แปลกใจ ว่าทำไมต้องไปลงแบบนั้น ในเมื่อไม่เป็นความจริง 

ซึ่งหลังจากให้ข้อมูลผู้สื่อข่าวเสร็จ ทางครอบครัวเจ้าของที่ได้เดินทางไปแจ้งความที่ สภ.บ้านนาทันที เพื่อดำเนินคดีกับทางเพจที่ทำให้ครอบครัวตนนั้นถูกด่า และในส่วนของครอบครัว 13 คน ก็จะเดินทางไปศาลเพื่อยื่นฟ้องทางเข้าออกให้เป็นทางภาวะจำยอมต่อไป

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ