เปิดพยานฝั่งเพื่อนบ้าน เจ้าอาวาสยัน เห็นตั้งแต่ปี 54 แค่พูดในสิ่งที่เห็นเท่านั้น

เปิดพยานฝั่งเพื่อนบ้าน เจ้าอาวาสยัน เห็นตั้งแต่ปี 54 แค่พูดในสิ่งที่เห็นเท่านั้น

กรณีเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง ที่ได้รับบ้านทาวน์เฮาส์แห่งหนึ่งเป็นของขวัญจากอากู๋เนื่องในวันแต่งงาน แต่เมื่อจะมาอยู่อาศัย หลังปล่อยร้างกว่า 30 ปี กลับพบว่าบ้านที่อากู๋ซื้อทิ้งไว้ ถูกเพื่อนบ้านข้าง ๆ ยึดไป รีโนเวทเอาไปเปิดเป็นร้านอาหารให้คนในบริษัทมานั่งกิน ซึ่งเรื่องโด่งดังจนถึงขั้นได้ออกรายการโหนกระแส และเพื่อนบ้านที่มายึดบ้าน ก็ได้ย้ายของออกไปแล้ว

แต่ดูเหลือว่าเรื่องดังกล่าวจะยังไม่จบ เพราะต่างฝ่ายต่างมีการฟ้องกัน โดยที่เจ้าของบ้านได้แจ้งข้อหาเพื่อนบ้านฐานบุกรุก แต่เพื่อนบ้านกลับไปยื่นฟ้องแพ่งเจ้าของบ้านว่าได้ครอบครองปรปักษ์ และเพื่อนบ้านได้เข้ามายึดบ้านอีกรอบ แถมยังหนักกว่าเดิม เพราะเพื่อนบ้านได้ตัดกุญแจ มีการทาสีบ้านเป็นสีฟ้า

และเปิดบ้านเป็นร้านขายปิ้งไก่ และเพื่อนบ้านมีการติดป้ายหน้าบ้านว่า บ้านหลังนี้ตนได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย บุคคลใดเข้ามากระทำการใด ๆ ในบ้านและที่ดิน ถือว่ามีความผิดฐานบุกรุก จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ทั้งที่ศาลยังไม่ได้มีคำตัดสินแต่อย่างใด

ล่าสุด วันที่ 12 ก.พ. 2567 ทีมข่าวได้ข้อมูลมาว่า ฝั่งของนางสาวศรีพรรณ มีการนำพระมหารณฤทธิ์ ฐิตวิโส เจ้าอาวาสวัดคลองครุ แขวงรามอินทรา เขตคันนายาวกรุงเทพฯ มาเป็นพยานในการฟ้องปรปักษ์นายซันและภรรยาด้วย ทีมข่าวจึงเดินทางไปสอบถามกับพระมหารณฤทธิ์ โดยพระมหารนฤทธิ์ บอกว่า

ตนเองทราบแล้วที่จะต้องไปเป็นพยานให้นางสาวศรีพรรณในการฟ้องปรปักษ์ ซึ่งตนเองก็จะให้การเท่าที่ตนเองเห็นเท่านั่น คือ ตนเองเดินบิณฑบาตผ่านบ้านหลังนี้ตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งตอนนั้นบ้านหลังดังกล่าว ยังไม่มีต้นกล้วย เห็นมีคุณยายบรรจง มารอใส่บาตร ตนเองก็เข้าใจว่า อยู่บ้านหลังนี้จนปัจจุบันคุณยายท่านนี้เสียชีวิตไปแล้ว

ส่วน น.ส.ศรีพรรณ ตนเองเห็นทั้งก่อนน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 และ หลังปี 2554 เห็นว่า เดินเข้าออกบ้านหลังนี้ที่มีกรณีพิพาทกัน มาตั้งโต๊ะรอใส่บาตรกันหน้าบ้านหลังนี้ แล้วก็มีญาติโยมคนอื่นๆมารอใส่บาตรด้วย ซึ่งสิ่งที่ตนเองเห็น คือ น.ส.ศรีพรรณ เดินเข้าออกบ้านหลังนี้ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะมีการขายไก่ทอดหรืออาหารอะไรด้วย จนมีการต่อเติม สร้างหลังคาหน้าบ้าน หลังน้ำท่วม คือ ปี 2554 ก็ทำให้เข้าใจว่า น.ส.ศรีพรรณ อาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวเรื่อยมา จนกระทั่งมาเห็นข่าวดังเมื่อปีที่แล้วและดูในรายการโหนกระแสว่ามีกรณีพิพาทกัน

นอกจากนี้ พระมหารณฤทธิ์ ยังบอกอีกว่า ตนเองก็จะเป็นพยานพูดได้แค่ในสิ่งที่เห็น ส่วนสิ่งที่ไม่เห็นว่าลึก ๆ แล้วใครเป็นเจ้าของมาก่อน ต้องให้ศาลตัดสิน เป็นเรื่องของกฎหมาย ตนเองไม่ทราบ และจะไม่ตอบในสิ่งที่ไม่เห็น แต่หากมองในมุมของธรรมะ ถ้าทรัพย์สินนั้นไม่ใช่ของตน และไปเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่น มันก็ผิดศีลข้อ 2 เรื่องลักทรัพย์อยู่แล้ว

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ