เมื่อเวลา 12.00 น วันที่ 16 มกราคม 67 ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ รายงานว่า ที่สำนักงานทนายความคู่ใจ ถ.แจ้งวัฒนะต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี น.ส.สุมิตา กิจเอื้อ อายุ 41 ปี แม่ค้าขายทุเรียน นำเอกสารหลักฐานและชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ เข้าร้องเรียนกับนายรณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อขอให้ช่วยเหลือ หลังนำรถไปถ่ายน้ำมันเครื่องที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 4 มี.ค.66 แต่พอขับรถกลับบ้านที่จ.ขอนแก่นพบว่ารถมีน้ำมันเครื่องไหลออกมาเต็มพื้นบ้าน จึงเปิดเครื่องยนต์ดูพบว่าน้ำมันเครื่องไหลออกมาหมด จึงนำรถเข้าศูนย์บริการรถยนต์ชื่อดังเพื่อตรวจเช็คซ่อมแซมแต่ทางช่างบอกว่าน้ำมันเครื่องหมด ทำให้ชิ้นส่วนเทอร์โบของรถเสียหายไปด้วย ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นเงินกว่า 60,000 บาท ตนจึงโทรศัพท์แจ้งเรื่องรถที่เกิดชึ้นไปที่ปั๊มน้ำมันแห่งนั้น ทางปั๊มน้ำมันก็ยินดีรับผิดชอบค่าซ่อมรถให้ทั้งหมด ตนจึงได้บอกให้ช่างช่วยตรวจเช็คอะไหล่รถอันอื่นๆด้วยที่อาจได้รับความเสียหายแต่ช่างบอกเช็คหมดแล้ว มีแค่เทอร์โบอย่างเดียวที่เสียหลังซ่อมรถเสร็จตนไปรับรถมาจากศูนย์ยังไม่ทันไร รถก็มีอาการเร่งเครื่องไม่ขึ้นต้องนำกลับไปให้ช่างซ่อมใหม่

หลังจากนั้นตนได้ไปรับรถกลับมาใช้วิ่งซื้อขายทุเรียนตามปรกติผ่านไป 3 เดือน คราวนี้ไปซื้อทุเรียนที่จ.นครราชสีมาโดยไปกับลูก ปรากฏว่ารถเบรคไม่ได้จนต้องเลี้ยวพ่วงมาลัยหลบข้างทาวแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงได้โทรแจ้งศูนย์รถก่อนจะมีรถมาลากไปเข้าศูนย์อีกครั้ง ซึ่งตนถามอาการจากช่างพบว่าพลาสติกของเบรคลมหักแล้วมีคนนำกาวมาหยอดติดเอาไว้ ทำให้กาวเมื่อเจอความร้อนจึงเสียหายทำให้รถเบรคไม่ได้เหมือนโดนตัดสายเบรค ซึ่งอะไรชิ้นนี้ตนไม่เคยถอดมีแต่ช่างซ่อมรถของศูนย์รถหรือไม่ก็พนักงานปั๊มนำ้มันที่ถ่ายน้ำมันเครื่องเท่านั้น ซึ่งตนได้ติดไปทั้ง 2 แห่งแต่ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนทำและไม่ยอมรับผิดชอบให้ ตนจึงมาร้องเรียนให้ทางทนายรณรงค์ช่วยเหลือว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพราะวันนั้นถ้าตนขับรถมาเร็วคงตายไปแล้ว

ด้านทนายรณรงค์ กล่าวว่าหลังจากนี้จะพาผู้เสียหายไปร้องเรียที่สคบ.ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบว่าอะไหล่รถที่เสียแล้วนำกาวมาทาติดไว้แทนที่จะเปลี่ยนหรือบอกความจริงกับลูกค้า จนทำให้เขาเกือบตายใครควรจะต้องรับผิดชอบระหว่างศูนย์รถกับปั๊มน้ำมัน

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จังหวัดนนทบุรี รายงาน