เหยื่อโร่เอาผิด บ.หลอกพาไปทำงานที่ไต้หวัน สุดท้ายไม่ได้ไป เสียทั้งเงิน เป็นทั้งหนี้ ทุกข์ระทมหนัก

เหยื่อโร่เอาผิด บ.หลอกพาไปทำงานที่ไต้หวัน สุดท้ายไม่ได้ไป เสียทั้งเงิน เป็นทั้งหนี้ ทุกข์ระทมหนัก

วันที่ 5 ม.ค. ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายธมะนันท์ แตงทิม หรือ"จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่" พา น.ส.สาวิตรี แก้วกันหา อายุ 29 ปี ชาว จ.ศรีสะเกษ อาขีพเกษตร พร้อมผู้เสียหายอีก 10 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท. พรชัย ศรีมูล รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ปคม. หลังถูกหลอกจ่ายเงินค่าดำเนินการอ้างพาไปทำงานที่ไต้หวันสูญเงินรวมกันหลายล้านบาท

น.ส.สาวิตรี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ได้พบเห็นเพจเฟซบุ๊กหนึ่ง โพสต์ข้อความรับจัดหาคนไปทำงานโรงงานทอผ้า โรงงานอิเล็กทรอนิกส์ และ อุตสาหกรรมการเกษตร ที่ไต้หวัน ประกอบกับเห็นว่ามีการจดทะเบียนเป็นบริษัท มีสถานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ย่านคลองสาม จ.ปทุมธานี ดูน่าเชื่อถือ ด้วยความสนใจจึงติดต่อสอบถามไป ก่อนจะมีแอดมินเพจ พนักงานของบริษัท ติดต่อกลับมาพร้อมคำแนะนำเรื่องเอกสาร จากนั้นก็เรียกเก็บเงินเป็นค่าดำเนินการจากตนประมาณ 48,000 บาท แต่พอถึงกำหนดกลับไม่สามารถพาไปทำงานได้จริง อ้างติดปัญหาเรื่องเอกสาร เมื่อทวงถามเงินกลับคืนก็ถูกบ่ายเบี่ยง จนตนต้องไปร้องกรมแรงงาน ทางบริษัทจึงยอมคืนเงินบางส่วนให้ พร้อมกับอ้างว่าส่วนที่เหลือจะทยอยคืน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินส่วนที่เหลือกลับคืน

คนที่คอยติดต่อพูดคุยเรื่องงานด้วยส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของบริษัท และพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่รู้จักกับคนในบริษัท อ้างว่าเป็นคนจัดหาสถานที่ทำงาน ซึ่งบัญชีที่ใช้รับโอนเงินก็เป็นของบุคคลเหล่านี้ ที่ผ่านมามีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลักษณะเดียวกันกว่า 200 คน ส่วนใหญ่จะเสียเงินเป็นค่าดำเนินการตกคนละประมาณ 3-7 หมื่นบาท แต่ก็ไม่มีใครเคยได้ไปทำงานตามที่เขากล่าวอ้าง รวมถึงไม่ได้รับเงินกลับคืน อีกทั้งตนเคยนำข้อมูลของบริษัทไปให้กรมแรงงานตรวจสอบยังพบว่าไม่เคยมีการจดหรือขึ้นทะเบียนรับดำเนินกิจการจัดหางานกับกรมแรงงาน ทำให้เชื่อว่าถูกหลอก จึงตัดสินใจรวมตัวกันมาเข้าแจ้งความกับทางตำรวจ บก.ปคม. ในวันนี้ น.ส.สาวิตรี กล่าว

ด้าน นายธมะนันท์ หรือ จ่าคิงส์ กล่าวว่า กลุ่มผู้เสียหายส่วนใหญ่ที่ถูกหลอกมักมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด อยากมีงานทำ จะได้มีเงินมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ทำงาน ซ้ำยังต้องมาเสียทั้งเงินเสียเวลา ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก บางรายต้องกู้หนี้ยืมสิน บางคนต้องขายที่นา ขายวัวควาย เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าดำเนินการให้กับบริษัทดังกล่าว กลายเป็นทุกข์หนักเข้าไปอีก ในวันนี้ตนจึงตัดสินใจรวบรวมผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของบริษัทแห่งนี้มาเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับทางตำรวจ ให้ช่วยเร่งรัดตรวจสอบ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นอีก

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหาย ก่อนนำไปพิจารณาควบคู่พยานหลักฐานต่างๆ จากนั้นจึงจะประสานส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป

ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ