รีบจัดก่อนสิ้นปี! ส่อง 8 รถมือสองราคาร่วงหนัก หลังคนแห่ไปซื้อรถยนต์ EV กันเยอะ

รีบจัดก่อนสิ้นปี! ส่อง 8 รถมือสองราคาร่วงหนัก หลังคนแห่ไปซื้อรถยนต์ EV กันเยอะ

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเข้ามาตีตลาดของรถยนต์ EV ที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย ส่งผลกระทบทั้งตลาดรถป้ายแดงและรถมือสองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับพิษเศรษฐกิจที่ส่งผลให้มีรถถูกยึดนับแสนคันในปี 2566 นี้ ยิ่งซ้ำเติมให้มีปริมาณรถมือสองล้นตลาด นั่นจึงทำให้ราคาขายต่อลดลงอย่างมากเลยมีเดียวง จึงกลายเป็นโอกาสทองสำหรับใครที่กำลังมองหารถมือสอง ที่ตอนนี้ราคาร่วงหนักในปี 2566 จะมีรุ่นไหนน่านำไปใช้บ้าง ตามไปดูกันเลย

1. Toyota Camry (ACV50) รุ่นปี 2012 - 2018

ราคาโดยประมาณ : 380,000 - 750,000 บาท

รถยนต์รุ่นนี้ถือว่ายังสดใหม่น่าใช้ โดยเฉพาะโฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ปีไม่ลึกนัก ยิ่งได้รุ่นไฮบริดยิ่งประหยัดน้ำมัน แนะนำว่า ควรหารถบ้านแท้ ๆ มากกว่าจะเป็นรถบริษัท ซึ่งส่วนมากผ่านการใช้งานมาค่อนข้างหนัก ส่วนเรื่องการซ่อมบำรุงยังสบายใจได้อีกยาว แถมยังสามารถหาสภาพดี ๆ ได้ในราคาเริ่มต้นป้วนเปี้ยนราว 4 แสนบาทเท่านั้น

2. Nissan Teana L33 รุ่นปี 2013 - 2019

ราคาโดยประมาณ : 320,000 - 590,000 บาท

ถือเป็นรถยนต์แบรนด์ Nissan โมเดลสุดท้ายที่ทำตลาดในประเทศไทย มีจุดขายอยู่ที่ห้องโดยสารกว้างขวางและเงียบไม่แพ้เจ้าตลาด แม้เครื่องยนต์จะมีเฉพาะเบนซิน 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตรไม่มีไฮบริด แต่ก็ปรับปรุงเรื่องอัตราสิ้นเปลืองดีกว่าโฉม J32 ก่อนหน้านี้มาก แถมรถส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาไม่ข้าม 4 แสนบาท แลกกับปีที่ไม่เก่าจนเกินไปนัก ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่คุ้มค่าอย่างยิ่งทีเดียว

3. Nissan X-Trail / X-Trail Hybrid

ราคาโดยประมาณ : 380,000 - 590,000 บาท

หากอยากได้รถ SUV รถ Nissan X-Trail ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ยิ่งเมื่อมองราคามือสองอยู่ในระดับ 4 แสนบาทบวกลบนิดหน่อย ยิ่งทำให้รถรุ่นนี้น่าใช้อยู่ไม่น้อย ถ้าอยากประหยัดจะหันไปเลือกรุ่นไฮบริดก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่ก็ต้องมองหาลู่ทางเปลี่ยนแบตเตอรี่ไฮบริดเอาไว้ด้วย

4. Honda HR-V รุ่นปี 2014 - 2021

ราคาโดยประมาณ : 380,000 - 690,000 บาท

ปัจจุบัน Honda HR-V โฉมแรกสามารถหาซื้อได้ในราคาเริ่มต้นไมเกิน 4 แสนบาท แลกกับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร และห้องโดยสารกว้างขวางกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน แต่เน้นว่าควรหารถที่มีสภาพดี ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ยังทำงานได้อย่างสมบูรณ์ รับรองใช้งานได้อีกยาว

5. Toyota Corolla Altis รุ่นปี 2014 - 2019

ราคาโดยประมาณ : 250,000 - 390,000 บาท

ต้องมารถรุ่นนี้เป็นรถที่ขึ้นชื่อในเรื่องความอึด ถึก ทน บำรุงรักษาง่าย อะไหล่ทางเลือกเพียบ กำเงินราว 3 แสนบาท ก็เป็นเจ้าของได้แล้ว ถ้าอยากประหยัดก็ไม่ต้องง้อไฮบริด เพราะเอาไปติด LPG เลือกร้านดี ๆ หน่อย ใช้งานสบายหายห่วง พิสูจน์จากรถแท็กซี่ที่วิ่งกันเป็นล้านกิโลเมตรมาแล้ว

6. Nissan Sylphy รุ่นปี 2012 - 2019

ราคาโดยประมาณ : 190,000 - 320,000 บาท

อีกหนึ่งทางเลือกก็ได้ หากมีงบประมาณจำกัด เพราะถือเป็นรถน่าใช้ไม่แพ้ใคร แถมออปชันยังมีให้แบบครบ ๆ โดยเฉพาะรุ่น 1.8 ที่มีแอร์ตอนหลังมาให้ แต่อาการประจำรุ่นคือพัดลมหม้อน้ำไม่หมุน อาจนำไปสู่อาการโอเวอร์ฮีต จึงต้องตรวจเช็กเรื่องฝาสูบโก่งว่ามีการแก้ไขมาแล้วหรือไม่ควบคู่กันไปด้วย

7. Volvo S60 / V60 รุ่นปี 2013 - 2017

ราคาโดยประมาณ: 280,000 - 690,000 บาท

หากใครเป็นสายยุโรปอยากเน้นความหล่อหรูแล้วล่ะก็ Volvo S60 และ V60 ปัจจุบันมีราคาขายต่อหล่นฮวบฮาบจนน่าใจหาย กำเงินแค่ 3 แสนกว่าบาทก็เป็นเจ้าของได้แล้ว แต่เน้นว่าควรเลือกรหัส T4F ในโฉมไมเนอร์เชนจ์ที่สดใหม่และจุกจิกน้อยกว่า หรือจะข้ามไปเล่นเครื่องดีเซล D3 หรือ D4 ก็ประหยัดน้ำมันแบบถึงใจ เพียงแต่จะหายากกว่า และมีราคามือสองค่อนข้างโดดไปไกลพอสมควร

8. Mercedes-Benz C350e (W205)

รุ่นปี 2016 - 2019 ราคาโดยประมาณ: 650,000 - 1,100,000

ปิดท้ายกันที่รถยนต์แบรนด์หรูที่ราคาหล่นเหลือไม่ถึงล้านบาท แต่ใครจะเล่นรหัส C350e เครื่องยนต์ Plug-in Hybrid ก็ต้องเสี่ยงดวงในเรื่องแบตเตอรี่ไฮบริดกันหน่อย เพราะค่าเปลี่ยนแบตยังค่อนข้างสูง ส่วนอาการประจำรุ่นคือช่วงล่างถุงลมที่ชอบปล่อยให้ตัวรถลงไปนอนกับพื้น หากยอมเปลี่ยนเป็นคอยล์สปริงก็หายห่วงดี ไม่อย่างนั้นก็หันไปเล่นตัวเบนซินล้วน เช่น C180 และ C250 หรือเพิ่มเงินข้ามไปเล่นรหัส C300e ที่แก้ปัญหาหลายอย่างแล้วไปเลย

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ