รฟท.ปรับเวลาเดินรถสายใต้ 60 ขบวน เริ่ม 15 ธ.ค. นี้ ใครจะใช้บริการเช็กเลย

รฟท.ปรับเวลาเดินรถสายใต้ 60 ขบวน เริ่ม 15 ธ.ค. นี้ ใครจะใช้บริการเช็กเลย

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2566 นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้มีการเปิดเผยว่า ตามนโยบาย Quick Win คมนาคม ของประชาชน ของนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เกี่ยวกับโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วนของการรถไฟฯ เพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ในเส้นทางสายใต้ สามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2567 อำนวยความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน รวมถึงสามารถขนส่งสินค้าเชื่อมโยงทุกภูมิภาคต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย

จากนโยบายดังกล่าว นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความพร้อมของโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วนในเส้นทางสายใต้ ช่วงนครปฐม - หัวหิน ช่วงหัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร ที่มีความก้าวหน้าใกล้จะแล้วเสร็จทั้งหมด การรถไฟฯ จึงได้พิจารณาความพร้อมของสถานีและระบบต่างๆ ในการเดินขบวนรถ และกำหนดเปิดใช้ทางคู่ในช่วงแรก ระหว่างสถานีบ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จังหวัดชุมพร รวมระยะทาง 348 กิโลเมตร

โดยตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2566 เป็นต้นไป การรถไฟฯ กำหนดปรับเวลาเดินรถสายใต้ จำนวน 60 ขบวน ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารใช้เวลาในการเดินทางน้อยลง และถึงจุดหมายปลายทางเร็วขึ้น สามารถเดินทางถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นประมาณ 1.30 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเดินรถ ทำให้การรถไฟฯ สามารถรองรับขบวนรถได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า

สำหรับ ประชาชนที่มีความประสงค์จะเดินทางโดยสารด้วยรถไฟในเส้นทางดังกล่าว สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ การรถไฟฯ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทุกโครงการให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการทันตามแผนที่กำหนด เพื่ออำนวยความสะดวกการเดินทางแก่ประชาชน ตลอดจนช่วยลดต้นทุนการขนส่งเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ให้ประเทศ เพื่อกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจไปยังภูมิภาคตามยุทธศาสตร์ชาติของประเทศ ตลอดจนสนับสนุนให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรางของภูมิภาคอาเซียนต่อไป

เรียบเรียง siamnews

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ