ส่อง 6 รถมือสองราคาร่วงหนัก ใครถอยป้ายแดงมามีน้ำตาตก

ส่อง 6 รถมือสองราคาร่วงหนัก ใครถอยป้ายแดงมามีน้ำตาตก

แม้ว่ารถยนต์มือสองจะมีราคาขายต่อหล่นจากสมัยป้ายแดงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่รถบางรุ่นกลับมีราคาตกมากกว่ารุ่นอื่น ๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่งในสมัยป้ายแดง ดังเช่นกับรถ 6 รุ่นที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีราคาร่วงหนัก ชนิดที่คนซื้อป้ายแดงถึงกับต้องน้ำตาร่วงกันเลยทีเดียว

1. Chevrolet Cruze

แม้ว่า Chevrolet Cruze จะถือเป็นรถพิกัด C-segment ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นมากกว่าคู่แข่งหลายรุ่นในสมัยนั้น แต่ปัญหาหลักของรถรุ่นนี้ก็คือ เกียร์พัง ทำให้ผู้ที่ใช้รถรุ่นนี้ทยอยปล่อยลงสู่ตลาดมือสองกันเป็นแถว แถมคนซื้อก็ไม่กล้าเสี่ยงจนต้องหันไปเล่นรุ่นอื่นแทน ส่งผลให้ราคามือสองร่วงจนเหลือไม่ข้ามแสน แม้ว่าอายุรถส่วนใหญ่จะประมาณ 10 ปีเท่านั้นเอง หากเป็นรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ก็ยังพอไปวัดไปวาได้หน่อย เพราะขึ้นชื่อว่าหายากและไม่จุกจิกเท่าเครื่องยนต์เบนซิน แต่ก็แลกมาด้วยสภาพดี ๆ ที่มีอยู่น้อยนิดเหลือเกิน

2. Ford Focus (MK3)

อันที่จริง Ford Focus เจเนอเรชันที่ 3 ก็ถือเป็นรถคอมแพ็กที่สวยงามน่าใช้ ออปชันก็มีให้แน่น ๆ แต่น่าเสียดายที่ลูกค้าหลายคนพบเจอปัญหาเกียร์ PowerShift ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ หากเบาหน่อยก็แค่เกียร์กระตุก หากเป็นหนักก็ถึงขั้นเข้าเกียร์แต่รถไม่วิ่ง ส่งผลให้ราคามือสองร่วงหนักเมื่อเทียบกับรถค่ายญี่ปุ่น แต่ที่พอจะสู้ได้หน่อยก็คงจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ EcoBoost 1.5 ลิตร ที่ว่ากันว่าแก้ปัญหาเกียร์มาให้เรียบร้อยแล้ว แถมยังเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าคู่แข่งในสมัยนั้น จึงทำให้ราคามือสองในตลาดยังอยู่ในระดับ 3-4 แสนบาทเลยทีเดียว

3. MG6

ต้องบอกว่า MG6 ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของเอ็มจีที่ทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งเปิดตัวมาด้วยราคาค่อนข้างสูง แถมยังเป็นช่วงที่รถพิกัด C-segment กำลังเสื่อมความนิยม เพราะลูกค้าหันไปใช้ SUV แทน ส่งผลให้ราคามือสองเหลือเพียง 1 แสนบาทต้น ๆ ในรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์เท่านั้น ส่วนในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ก็อยู่เพียงราว 2 แสนกว่าบาท ทั้ง ๆ ที่สมัยป้ายแดงมีค่าตัวทะลุล้านบาทเลยทีเดียว

4. Volvo S60 / V60 DRIVe

แบรนด์ Volvo ขึ้นชื่อว่าเป็นรถยุโรปที่ราคาตกอยู่แล้ว แต่สำหรับรถรุ่น S60 DRIVe และ V60 DRIVe ถือเป็นรุ่นที่ขึ้นชื่อว่าราคาตกหนักกว่ารุ่นอื่น ๆ เพราะว่ามีปัญหาเกียร์จนทำให้เจ้าของรู้สึกไม่ชอบใจนัก เมื่อเจอค่าซ่อมที่สูงพอสมควร ทำให้ผู้ที่มองหามือสองมักหันไปเล่นรุ่นเบนซินรหัส T4F หรือไม่ก็ดีเซลรหัส D4 ที่มีความสดใหม่มากกว่า และแก้จุดอ่อนหลายอย่างมาให้แล้ว

5. Mercedes-Benz E300 Bluetec Hybrid (W212)

ถึงแม้ว่าจะเป็นเจ้าตลาดรถหรูอย่าง Mercedes-Benz แต่ก็ไม่วายเจอปัญหาราคาร่วงหนักกับเขาเหมือนกัน เพราะ E300 Bluetec Hybrid ที่ใช้ขุมพลังดีเซลคู่ไปกับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งคอนเซ็ปต์ดูเหมือนจะดีเพราะได้ความประหยัด 2 ต่อ แต่พอเอาเข้าจริงผู้ใช้รถหลายคนเจอปัญหาแบตเตอรี่ไฮบริดเสีย ซึ่งว่ากันว่าค่าเปลี่ยนแบตพุ่งแรงแซงค่าตัวมือสองด้วยซ้ำไป ต่อให้ซ่อมอู่นอกก็หมดหลายแสนบาทอยู่ดี จนบางคนถึงขั้นเมินซ่อมพร้อมฝากอู่เป็นธุระขายต่อในราคาถูก ๆ ให้เลย

6. Mercedes-Benz C350e (W205)

สำหรับ Mercedes-Benz C350e รหัสตัวถัง W205 (ย้ำว่า W205 ตัวเก่านะ ไม่ใช่ตัวปัจจุบัน) แม้ว่าจะไม่เจอปัญหาระบบไฮบริดมากเท่ากับ E300 Bluetec Hybrid แต่เจ้าของรถหลายคนมักจะเจอปัญหาช่วงล่างถุงลมรั่ว ซึ่งค่าเปลี่ยนต้นนึงก็จุก ๆ หลักแสนบาท (หากเข้าอู่นอกอาจถูกกว่านี้) ถ้าเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 4 ต้น คงแทบลมจับ แถมหลายคนก็เจอปัญหาคอมแอร์เสียบ่อย หากซ่อมอู่นอกก็ต้องเจอค่าซ่อมหลายหมื่นอยู่ดี ดังนั้นผู้ที่กำลังมองหา C-Class W205 จึงเลือกไปเล่นรุ่นเบนซินล้วน เช่น C180, C200 และ C250 แทน หรือไม่ก็ข้ามไปไฮบริดรหัส C300e และดีเซลรหัส C220d ไปเลย

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่ารถรุ่นที่กล่าวมาจะมีปัญหาไปทั้งหมด หากเจอเจ้าของเก่าที่ดูแลรักษาดี กัดฟันซ่อมทำนุบำรุงรักษา รถก็มักจะอยู่ในสภาพดีเหมือนกัน ทั้งนี้ หากต้องการเลือกซื้อรถสักรุ่น ควรศึกษาจะผู้ใช้จริงเสียก่อน จะได้รู้วิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ